13/11/2021
เที่ยวชนบทสวิส (26): มอร์โคเต (Morcote)
-----------------------------------------------------
ตอร์เร เดล คาปิตาโน (Torre del Capitano) หรือ “หอคอยกัปตัน” คือ สิ่งปลูกสร้างอายุกว่า 700 ปี ที่ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองโบราณเพื่อทำหน้าที่เป็นสถานีตำรวจและทางเข้าหลักสู่ตัวเมือง ภายในประดับด้วยตราขุนนางหลายตระกูลที่ครั้งหนึ่งเคยนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองมาสู่มอร์โคเต
ด้วยสถานที่ตั้งบนเชิงเขาติดทะเลสาบลูกาโน (Lago di Lugano) มอร์โคเตมีข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์และยังได้รับสิทธิพิเศษจากดยุคแห่งมิลาน (Duke of Milan) แห่งแคว้นลอมบาร์ดี (Lombardy) ในการจัดเก็บภาษี การประมง การจัดตั้งตลาด และการปกครองตัวเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของทะเลสาบลูกาโนที่สินค้าจากอิตาลีทางตอนเหนือต้องถูกลำเลียงผ่านเพื่อขนส่งไปยังบริเวณอื่น ๆ ของทิชิโน (Ticino) หรือรัฐของสวิสที่พูดภาษาอิตาเลียนในปัจจุบัน และแม้ในภายหลังจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1517 แล้ว มอร์โคเตยังคงทรงไว้ซึ่งสิทธิพิเศษและความสัมพันธ์ทางการค้ากับเพื่อนบ้านชาวลอมบาร์ดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบ
เมื่อมีการค้า จึงมีความร่ำรวย เมื่อมีความร่ำรวย จึงปรากฏคฤหาสน์สีสันสดใสหลากสีของเหล่าขุนนางขนาบข้างหอคอยกัปตันทั้งสองข้าง สิ่งที่หลงเหลือจากอดีตกาลต่างขับขานบอกเล่าเรื่องราวที่เคยเป็นไปยามต้องแสงตะวันที่สาดส่องจากทักษิณายันสะท้อนเงาลงบนกระจกเงาธรรมชาติผืนใหญ่ของทะเลสาบลูกาโน สายลมอ่อนที่พัดโชยผ่านต้นสนทะเลที่เรียงราวเป็นทิวแถวกระซิบอย่างแผ่วเบาประสานกับคลื่นที่กระเพื่อมเป็นระลอกเล็กอย่างต่อเนื่องราวกับว่า ยังมีเรื่องราวเป็นร้อยพันที่มิอาจบอกเล่าได้หมดสิ้น
ระลอกคลื่นเหล่านี้บางส่วนเกิดจากเรือขนส่งผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว เป็นระลอกคลื่นที่นำมาซึ่งเรื่องราวใหม่แก่มอร์โคเต
เรือการค้าที่นำเงินตรามาให้จนถึงศตวรรษที่ 19 ได้กลายเป็นภาพในอดีต เรือขนส่งผู้โดยสารนักท่องเที่ยวกลายเป็นภาพในปัจจุบันที่นำเม็ดเงินมาสู่มอร์โคเตตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คฤหาสน์ขุนนางได้ถูกปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับบริบทที่ผันแปร การท่องเที่ยวยังผลให้สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เปลี่ยนโฉมเป็นร้านอาหารและร้านขายงานฝีมือเพื่อตอบโจทย์ความสำราญที่ผู้มาเยือนแสวงหา
แม้ชีวิตทางโลกจะไม่เหมือนเดิม แต่ชีวิตทางธรรมของมอร์โคเตยังคงถูกปกปักรักษาด้วยโบสถ์ซานต้ามาเรีย เดล ซัสโซ (Santa Maria del Sasso) ที่ตั้งเด่นคุ้มเมืองตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ที่ปลายบันไดหิน 404 ขั้น
สำหรับผู้มีจิตศรัทธาหรือนักท่องเที่ยวที่อยากมาชมไฮไลต์ของมอร์โคเต บันได 404 ขั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะผลตอบแทนของแรงกายและแรงใจช่างคุ้มค่านัก
โบสถ์ก่อหินหลังคากระเบื้องแดงที่ดูเรียบง่ายมีภาพปูนเปียกศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาและบาโรก (Renaissance-Baroque) ที่งดงามตระการตาบอกเล่าเรื่องราวตอนที่สำคัญในพระคัมภีร์ไบเบิลตั้งแต่บทปฐมกาลหรือการสร้างโลก (Genesis) ไปจนถึงการตรึงพระเยซูที่กางเขน (Crucifixion) ที่ดลให้ผู้มาเยือนอยู่ในอาการตะลึงงันและเกิดศรัทธาได้ง่ายตามคติที่แฝงอยู่ในศิลปะแบบบาโรก ยิ่งในบรรยากาศที่เงียบสงบปลอดนักท่องเที่ยวด้วยแล้ว ความขลังได้ทวีเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
จากโบสถ์แห่งนี้ ผู้มาเยือนจะได้เห็นทิวทัศน์พาโนรามาของหมู่บ้านเบื้องล่างที่หลังคาสีน้ำตาลแดงคล้ายกระเบื้องโมเสกที่ประกอบขึ้นเป็นพรมผืนยาวตัดกั้นระหว่างแนวไม้สีเขียวและทะเลสาบสีดำทะมึนในวันที่เมฆหม่น ไกลออกไปเป็นเทือกเขาแอลป์ที่สลับซับซ้อนและหมู่บ้านของอิตาลีที่ตีนเขาริมทะเลสาบ
ณ บริเวณหน้าโบสถ์ซานต้ามาเรีย เดล ซัสโซ นี่เอง ที่สายลมกระซิบเมื่อพัดผ่านสอดประสานกับเสียงระลอกคลื่นบนทะเลสาบก้องกันวานในหุบเขา บอกเล่าเรื่องราวในวันวานของมอร์โคเตได้ตรึงใจที่สุด
---------------------------------------------------------
การเดินทาง - จากสถานีรถไฟลูกาโน (Lugano) นั่งรถไฟประมาณ 8 นาที มาลงที่สถานีเมลิเด (Melide) แล้วต่อรถเมล์สาย 431 อีกประมาณ 11 นาที ลงที่ป้ายมอร์โคเต เปียสซา กรานเด (Morcote, Piazza Grande) หรือสามารถโดยสารเรือจากลูกาโน
สำหรับผู้ที่มีเวลา อาจไปเที่ยวสวนแชร์รา (Parco Scherrer) ที่อยู่ห่างออกไป 550 เมตร เป็นสวนพฤกษศาสตร์บนเชิงเขาที่ประดับประดาด้วยประติมากรรมแบบโรมันในบรรยากาศที่โรแมนติก เข้าชมได้ฟรี
หากใครชอบใจ ขอฝากกดติดตามเพจ ยุโรปรำลึก ระทึกอาหรับ กลับสู่เอเชีย ด้วยครับ
#คิดจะเที่ยวคิดถึงเก็ทแอนด์โกทราเวล