03/05/2023
สาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้พนักงานประจำไม่สามารถถีบตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างที่ใจเขาต้องการได้ ไม่ได้เป็นเพราะเขาไม่เก่ง ไม่ฉลาด ไม่มีประสบการณ์ หรือ ไม่มีความสามารถ
แต่เป็นเพราะเขายังมี Mindset แบบ “ลูกจ้าง” ต่างหาก
มันจึงทำให้ชีวิตของใครหลายคนที่ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด มากประสบการณ์ แถมมีความสามารถไม่ธรรมดา ถึงยังไปได้ไม่ไกลสักที
เพราะคนที่คิดว่าตัวเองเป็นลูกจ้าง ก็จะคิดแบบลูกจ้าง มองแบบลูกจ้าง และ ทำแบบลูกจ้าง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มันก็มีคุณภาพแบบลูกจ้าง
ดังนั้น หากคุณเป็นพนักงานประจำ ที่ฝันอยากมีอนาคตเป็นนักธุรกิจ
จำเอาไว้ว่า ไม่ว่าวันนี้คุณจะมีสถานะเป็นอะไร แต่คุณจะต้องคิดแบบนักธุรกิจตั้งแต่วันนี้ครับ
คำถาม คือ แล้วการคิดแบบนักธุรกิจนั้นเป็นยังไง ?
ซึ่งเคล็ดลับที่ผมใช้เปลี่ยนตัวเองจากพนักงานประจำเงินเดือน 15,000 บาท เป็นนักธุรกิจเงินล้านได้ภายใน 2 ปี ก็คือ
อย่าคิดว่า บริษัท คือ “เจ้านาย” และ อย่าคิดว่า ตัวเอง คือ “ลูกจ้าง”
แต่ให้คิดว่า ตัวเอง คือ “นักธุรกิจ” ส่วน บริษัท คือ “ลูกค้า”
เราไม่ได้เป็นลูกจ้างที่รับเงินเดือน 15,000 บาท
แต่เราเป็นนักธุรกิจ ที่ขายความรู้ ความสามารถ และ ผลงานให้กับลูกค้า (บริษัท) ในราคา 15,000 บาท
มันไม่สำคัญว่าตอนนี้คุณเป็นใคร มันสำคัญที่ว่าคุณมองตัวเองเป็นยังไง เพราะมันมีผลต่อ ความคิด การกระทำ และ การปฏิบัติ ของคุณ
เพราะถ้าคุณคิดว่าบริษัทเป็นเจ้านาย คุณก็จะคิดว่า ต่อให้ทำงานมาก ทำงานน้อย ก็ได้เงินเท่าเดิม งั้นทำงานแบบเดิมๆ นั่นแหละดีแล้ว
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดว่า บริษัท คือ ลูกค้า คุณจะอยากทำงานให้เกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับ
เพราะนักธุรกิจจะอยากให้ลูกค้าของเขา ได้ในสิ่งที่ดีที่สุด และ คุ้มค่ามากกว่าเงินที่ลูกค้าจ่ายเสมอ
ที่สำคัญ คุณจะดูแลลูกค้าอย่างดี ไม่ว่าจะก่อน หรือ หลังการขาย
แล้วในวันหนึ่ง ลูกค้าก็จะตอบแทนคุณด้วยการซื้อของที่แพงขึ้น แถมยังบอกต่อเพื่อนๆ ให้มาซื้อของจากคุณอีกต่างหาก ส่งผลให้คุณมีรายได้มากขึ้น รวยขึ้น และ ประสบความสำเร็จมากขึ้น
เหมือนกับการทำงาน ที่คุณเองก็จะได้ค่าตอบแทนมากขึ้น แถมยังมีคนเอาคุณไปชื่มชมให้คนอื่นฟัง จนทำให้คุณได้รับโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต
อย่างที่ นโปเลียน ฮิลล์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า “คนที่ทำงานมากกว่าค่าตอบแทนที่ได้รับ ในไม่ช้าเขาจะได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่าตามมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
พอได้ยินอย่างนี้ หลายคนอาจจะเถียงขึ้นมาทันควันว่า “มันใช้ไม่ได้กับประเทศไทยหรอก เพราะประเทศนี้ทำงานมากแค่ไหนก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม เผลอๆ พอเราทำงานดี ทำงานเร็ว กลับโดนเพิ่มงานอีก มีแต่โดนเอาเปรียบทั้งนั้นแหละ”
ถ้าคุณคิดแบบนี้ ให้คุณรีบดึงสติตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด เพราะคุณกำลังมีความคิดแบบลูกจ้างอยู่
คุณลองคิดภาพตามผมนะครับ
สมมติว่า วันนี้คุณทำงานโรงแรม 5 ดาว คุณคิดว่า แขกที่จะมาพักโรงแรมของคุณจะเป็นแขกระดับไหนครับ ?
ใช่ครับ !! แขกที่มาพัก ก็จะเป็นแขกระดับ 5 ดาว ที่มีกำลังจ่ายระดับ 5 ดาว
ในทางกลับกันถ้าคุณทำงานโรงแรม 2 ดาว คุณคิดว่าจะมีแขกระดับ 5 ดาวที่ไหนจะยอมจ่ายเงินระดับ 5 ดาวให้คุณไหม ?
แน่นอนว่า ไม่มีทาง !! เพราะคนที่มาพัก จะมีแค่แขกระดับ 2 ดาว กำลังซื้อระดับ 2 ดาว และ ยอมจ่ายให้คุณในราคา 2 ดาว เท่านั้น
มันก็ไม่ต่างกับคนส่วนใหญ่ ที่ทำงานคุณภาพ 2 ดาว แต่อยากให้ (บริษัท) ลูกค้าจ่ายเงินระดับ 5 ดาวให้ตัวเอง
และที่แย่ไปกว่านั้น คือ หลายคนทำงานแค่ระดับ 2 ดาว แต่มโนว่าตัวเองทำงานระดับ 5 ดาว พอลูกค่าจ่ายเงินให้ในราคา 2 ดาว ก็เอาแต่บ่นว่าค่าตอบแทนที่ได้ไม่ยุติธรรม บ่นว่าโดนเอาเปรียบ
ถ้าสังเกตดีๆ คุณจะเห็นว่า ไม่มีโรงแรม 5 ดาวที่ไหน ยอมลดราคาให้กับคนที่ไม่มีกำลังจ่าย และ ไม่เคยง้อให้ลูกค้าระดับ 2 ดาวต้องมาใช้บริการโรงแรมของเขา
เพราะยังไงก็มีลูกค้าคนอื่นๆ ที่ยอมจ่ายในระดับ 5 ดาวให้เขาอยู่ดี
มันก็ไม่ต่างกับการทำงาน ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองทำงานระดับ 5 ดาว แล้วทำไมคุณต้องง้อบริษัทระดับ 2 ดาวล่ะ
เพราะถ้าคุณเก่งจริง มันจะมีคนระดับ 5 ดาว ที่พร้อมจ่ายในราคา 5 ดาวให้คุณเยอะแยะ
คุณทำงานโรงแรมแบบไหน คุณก็จะดึงดูดลูกค้าแบบนั้น เช่นกัน คุณทำงานแบบไหน คุณก็จะดึงดูดนายจ้างแบบนั้น
คนที่คิดแบบนักธุรกิจ เขาจะมีความมั่นใจ และ มั่นคงในตัวเอง
เขาจะมองว่า การได้งานเยอะเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันทำให้เขามีโอกาสฝึกฝนทักษะของตัวเองให้แหลมคมขึ้น และ เพิ่มประสบการณ์มากขึ้น
ยิ่งโดนเจ้านายให้ไปทำงานนอกสายงาน ทำงานต่างแผนกนี่ยิ่งดีเลย เพราะมันจะทำให้เราได้เรียนรู้ระบบธุรกิจในมุมมองที่กว้าง และ ครอบคลุมขึ้น
และ ต่อให้วันนี้จะโดนเอาเปรียบ และ ได้ค่าจ้างน้อยกว่างานที่ทำ แต่สิ่งที่ได้มาไม่ว่าจะเป็น ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ หรือ คอนเนกชั่น จะติดตัวเขาไปตลอด จะใช้หากินที่ไหนก็ได้ และ หากินได้ตลอดชีวิต
ถ้าเจ้านายคนเดิมไม่ยุติธรรม คิดว่าเขาจ่ายให้น้อยกว่าที่ควรจะได้ ก็ไม่เห็นต้องแคร์ เพราะถ้าเก่งจริง คุณก็แค่ไปทำงานที่อื่นที่เขายอมจ่ายก็ได้ หรือ ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งพอที่จะทำเงินเองได้แล้ว ก็ออกไปสร้างธุรกิจเองเลย ไม่เห็นจะยากอะไรเลย
ซึ่งก็เหมือนกับที่ นโปเลียน ฮิลล์ บอกเอาไว้นั่นแหละ คือ ถ้าคุณทำงานดีจริง ยังไงๆ คุณก็จะได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่า ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต่อให้ไม่ได้รับจากนายจ้าง คุณก็จะได้รับทางอื่นอยู่ดี
แต่ถ้าคุณเอาแต่โทษบริษัท นั่นแสดงว่า คุณไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย จึงเลือกที่จะโทษนายจ้างให้มันพ้นๆ ไป ตัวเองจะได้รู้สึกสบายใจกับการทำอะไรแบบเฉื่อยแฉะไปวันๆ
สมัยผมทำงานประจำ ผมมีเพื่อนร่วมงานแบบนี้เยอะมาก คือ เอาแต่บ่น และ นินทาเจ้านายไปวันๆ แต่ก็ไม่กล้าลาออกไปทำงานที่อื่น จนถึงวันนี้ ผ่านมาเกือบจะ 3 ปี ผมยังเห็นเขายังคงทำงานที่เดิม เวลาเจอกันทีไร ก็ยังบ่นเจ้านายเหมือนเดิม
เอาจริงๆ คนเหล่านี้ตอนทำงานเขาได้รับเงินเดือนมากกว่าผมอีกนะ ทำงานก็เก่งกว่าผมด้วย แต่ทำไมผ่านไปกี่ปี ชีวิตเขาถึงไม่ก้าวหน้าไปไหนล่ะ
คำตอบก็คงเหมือนเดิมครับ คือ เขามี Mindset แบบลูกจ้าง
และถ้าคุณไม่อยากตกอยู่ในชะตากรรมแบบนั้น คุณต้องเปลี่ยน Mindset ตั้งแต่วันนี้ครับ
จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ “ไม่ว่าวันนี้คุณจะมีสถานะเป็นอะไร แต่คุณจะต้องคิดแบบนักธุรกิจตั้งแต่วันนี้”
ย้ำอีกครั้ง อย่าคิดว่าบริษัท คือ “นายจ้าง” แต่ให้คิดว่า บริษัท คือ “ลูกค้า”
แล้วเจอกันที่ความสำเร็จครับ !!
เขียนโดย #สมองไหล
#สังคมคนสร้างธุรกิจจากศูนย์