Supawan's Colorful World

Supawan's Colorful World I have been blessed for being able to travel the world, see many wonderful sites and enjoy life & I want to share them with all of you.

เปิงกมนูว์ .. แห่งมเหนทรบรรพต ในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 17 การสร้างรูปประติมากรรมศิวลึงค์ เพื่อบูชาศิวะเทพ ตามคติไศวะนิกาย...
19/10/2022

เปิงกมนูว์ .. แห่งมเหนทรบรรพต

ในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 17 การสร้างรูปประติมากรรมศิวลึงค์ เพื่อบูชาศิวะเทพ ตามคติไศวะนิกาย ได้แพร่หลายอย่างมาก .. ต่อมาศรัทธาและความเชื่อในแบบไศวะนิกายได้เสื่อถอยลง

ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 17 อิทธิพลของคติความเชื่อแบบไวษณพนิกายและตรีมูรติ เข้ามามีอิทธิพลต่อคติความเชื่อและงานศิลปะเขมรโบราณเป็นอย่างมาก และปรากฏงานศิลปะในเรื่องราวของพระวิษณุในอวตารต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

“เพิงหินภาพวาด” หรือ “เปิงกมนูว์” ในภาษาเขมร ซึ่งเป็นเพิงหินที่ปรากฏกลุ่มภาพแกะสลักบนผนังกระจายตัวอยู่ 4 – 5 กลุ่มในบริเวณใกล้เคียงกัน ในบริเวณแนวเขาลาดลงสู่ที่ต่ำทางฝั่งทิศตะวันออกสุดของที่ราบสูงบนพนมกุเลน ทางเหนือของอำเภอสวายเลอ ประมาณ 3 กิโลเมตร .. อาจจะเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงคติการปฏิบัติที่เห็นได้ชัดในความเปลี่ยนแปลงนี้

การเดินทางไปชมภาพสลักหินเหล่านี้ เราต้องผ่านพื้นที่ที่เป็นทางที่ผ่านเข้าไปในแนวป่าโปร่ง มีถนนแคบๆที่ใช้เป็นทางเดิน และให้พาหนะขนาดเล็กจำพวกมอร์เตอรฺไซด์ และรถชขนาดเล็กๆแล่นไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในระยะทางราว 3-4 กิโลเมตร ..

เราใช้บริการรถอีแต๊กของชาวบ้านพร้อมคนขับเป็นพาหนะ .. ซึ่งก่อนที่มา เราคิดเพียงว่า มันคงเป็นการเดินทางที่สนุกสนาน แตกต่างจากรถที่เราใช้เดินทางเป็นปกติ

รถอึแต๊กแสนเท่ห์ (ในความคิดตอนแรกเริ่ม) ออกเดินทาง โดยมีสารถีที่ชำนาญทาง ให้ความมั่นใจได้ว่า การหลงทางไม่มีในพจนานุกรมการเดินทางในวันนี้แน่ๆ ..
. ก่อนหน้าวันที่เราเดินทาง เป็นวันหลังฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ ช่วงสายของวันเดินทาง ท้องฟ้าแจ่มใสพอสมควร แดดอ่อน และมีลมพัดโชยมากระทบใบหน้าในบางขณะ ทำให้รื่นรมย์ไม่น้อย

ถนนดินแคบๆพาเรามุ่งหน้าขึ้นเนินไปเรื่อยๆ .. แม้เส้นทางจะไม่ได้ลาดชันมาก แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ และยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่นักท่องเที่ยว ทำให้ถนนอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยหลุม บ่ออันเกิดจากใช้งานและการกัดเซาะของฝน และไม่ได้รับการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพดีเท่าที่ควร .. รถอีแต๊กเก๋ๆที่เรานั่งจึงโคลงเคลงไปมา เอียงซ้าย เอียงขวาให้เราได้ตื่นเต้น ตื่นตัว คอยปรับท่านั่งให้ยืดหยุ่นไปตามครรลองของคลื่นถนน ใจมุ่งอยู่กับโมเม้นท์ปัจจุบัน เหมือนการปฏิบัติธรรม
. บางขณะมองไปที่สารถี ผู้ที่ต้องยืนถือคันบังคับเครื่องยนต์ ตามองดูร่องตื้นลึกของถนน รวมถึงสิ่งกีดขวางต่างๆ พร้อมทั้งใช้ความชำนาญในการเลือกร่องในช่องที่ทำให้สามารถบังคับรถของเรามุ่งไปข้างหน้าได้อย่างปลอดภัยที่สุด
. ภาพในตอนนั้น ทำให้จินตนาการไปถึง รถม้าศึกในมหากาพย์ที่โด่งดัง “มหาภารตะยุทธ์” ในขณะที่พระกฤษณะ กำลังบังคับม้าศึกให้กับอรชุน ในการรบที่ทุ่งคุรุเกษตร ... แต่บางขณะ กลับกลายเป็นตอนที่ รถของกัณนะตกหล่ม ไปซะงั้น .. แล้วเราก็ต้องลงเดิน

เราเดินทางผ่านเนินเขา ป่าโปร่ง ป่าไผ่สีเขียวของใบไม้ในหน้าฝน .. บางช่วงมีทัศนียภาพที่สวยงาม เจริญตาอย่างยิ่ง

เราสังเกตเห็นว่า พื้นที่มีหินก้อนใหญ่ๆกระจายอยู่ทั่วบริเวณ

เวลาของการเดินทางผ่ายไปราวครึ่งชั่วโมง .. เราเดินทางมาถึงหมู่โขดหินเหมือนดอกเห็ดขนาดมหึมาบน พื้นที่ราบสูงที่มีป่าและแนวเขาเป็นฉากหลัง และนี่คือ “เปิงกมนูว์” ที่เราตั้งใจมาชมและแสวงหาความรู้ของเรื่องราวที่ไม่ธรรมดา

“เปิงกมนูว์” หรือ “เพิงหินภาพวาด” ได้ชื่อตามภาพวาดบนเพิงส่วนที่เหมือนดอกดห็ด หรือหลังคา แต่ภาพเหล่านั้นเราดูไม่ออก และบอกไม่ถูกว่าเป็นภาพที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร

ไฮไลท์ของ “เปิงกมนูว์” อยู่ที่ภาพสลักบนแผ่นหิน 3-4 กลุ่ม ที่จะได้เล่าให้ฟังในลำดับต่อไป

จากความเข้าใจของเรา .. ภาพชุดแรกที่ถูฏสลักขึ้น คือ กลุ่มภาพสลักของเหล่าเทพเจ้าบนเพิงหินก้อนใหญ่ แสดงภาพบุคคลขนาดใหญ่ 4 รูป สลับกับรูปเทวีขนาดเล็กเป็นครึ่งหนึ่งของรูปใหญ่ 3 รูป
. มีรูปสลักของฤๅษี หรืออาจจะเป็นนักพรต กำลังบำเพ็ญตบะในท่าโยคะสนะ จำนวน 6 รูป ที่กำลังแสดงการบูชาสักการะเหล่าเทพเจ้า แทรกอยู่
รูปขนาดใหญ่คู่กลาง ..

บุคคลทางด้านซ้ายของคู่กลาง มีพระเนตรที่สามตรงพระนลาฏ ซึ่งก็หมายถึง “พระศิวะ” คู่ทางด้านขวา มี 4 กร เป็นรูปลักษณะที่ชัดเจนของ “พระวิษณุ” ส่วนรูปบุคคลถือกระบอง ที่ขนาบข้างทั้งสองฝั่ง คือรูปของ “พระทวารบาล” นนทิเกศวร และมีรูปสลักมหากาลและรูปสิงห์

รูปเทวี 4 พระกร ทางด้านซ้ายของรูปพระวิษณุ หมายถึง “พระวิษณุศักติ” ตามคัมภีร์ “วิษณุปุราณะ”
เทวีถือดอกบัวข้างซ้ายของพระศิวะ คือ “พระนางปารวตี” ..
ทางด้านขวาของพระศิวะ คือ “พระศักติเทวี”

รูปสลักทั้งหมดที่กล่างถึงข้างต้น .. ขนาบข้างด้วยสิงห์ทวารบาล ซึ่งทั้งหมดอาจแกะสลักขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน คือในช่วงที่ฤๅษีนามว่า “ศิวะโสมะ” ได้มาอาศัยพักพิงเพื่อบำเพ็ญตบะ แสดงการบูชาและเป็นผู้สร้างรูปสลักนูนต่ำของเหล่าเทพเจ้าบนผาหินนี้ (มีจารึกในส่วนบนของภาพสลักทางด้านซ้ายของพระวิษณุ)

เป็นที่น่าสังเกตว่า .. ภาพสลักเทพเจ้าทั้งหมดถูกกล่าวพระนามกำกับไว้ทุกองค์ในจารึกที่ปรากฏบนเพิงหินเพิงกอมนู ที่ถูกเรียกว่า "จารึกเพิงเก้งก้าง” (Peung Keng Kang/ K.176 ) หมายถึงเพลาหรือแกนของวงล้อในภาษาเขมร เป็นชื่อนามเดิมของสถานที่แห่งนี้ในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส

***จารึกอักษรเขมร-ภาษาสันสกฤต 17 บรรทัด บนผนังด้านขวาของรูปสลัก เป็นฉันทลักษณ์ 6 บท สลักขึ้นเมื่อศักราช 996 (หรือ ปี พ.ศ. 1617 ซึ่งตรงกับช่วงสมัยของพระเจ้าหรรษวรมันที่ 3 ต่อกับยุคสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 อันเป็นช่วงเวลาที่สอดรับกับงานศิลปะของรูปสลักบนเพิงผาได้อย่างลงตัว คือเป็นศิลปะแบบปลายบาปวน เข้าสู่ยุคศิลปะแบบพิมายและนครวัดตอนต้น

“...ท่านศิวะโสมะเป็นผู้พรสวรรค์ด้วยสติปัญญา และได้รับการเคารพนับถือจากเหล่าผู้ศรัทธา เขาและเหล่าผู้คนนั้นได้พากันมาบำเพ็ญตบะแห่งความบริสุทธิ์ บูชาไฟ บูชาพรหม บูชาคุรุ และบูชาเหล่าเทพเจ้าโดยไม่มีข้อยกเว้นว่าจะเป็นพระองค์ใด.... .. ได้สร้างรูปประติมากรรมทั้งหลายไว้ที่เพิงถ้ำแห่ง “เขามเหนทระ” (Mahendraparvata) เพื่อถวายเป็นที่สถิตของพระมเหศวรและนางปารวตี ผู้เป็นบุตรีแห่งท้าวหิมาลายา...... ได้ใส่ชื่อนามของท่านไว้ร่วมกับเหล่าเทพเจ้าในนาม "พระโสมะ" (Soma) เพื่อให้ผู้คนได้รู้จักชื่อของท่าน ในความสำเร็จแห่งคุณธรรมอันแสนมหัศจรรย์ที่ไร้การเปรียบเทียบ......เหล่าเทพเจ้าและพระเทวีจะได้ทรงประทานพรสู่สวรรค์และการปลดปล่อยครั้งสุดท้ายให้แก่พระศิวะโสมะและเหล่าสาวก ผู้อาศัยบำเพ็ญเพียรอย่างถาวรอยู่ในเพิงผามเหนทระที่เปรียบประดุจสวรรค์แห่งนี้... ..พระศิวะโสมะได้สร้างรูปเคารพทั้งหลาย เพื่อถวายต่อองค์ “ปรเมศวร” (Paramesvara) “พระนางปารวตี” (Parvati) “เทวี” (Devi) พระวิษณุ (Visnu) ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อเหล่าอสูร (Asura) และ ตัวของเขาเอง พระโสมะ (โสมะ)...” ***

ภาพสลักอีก 3 กลุ่มรอบภาพสลักใหญ่ ไม่มีการกล่าวถึงในจารึก จึงเข้าใจว่าเป็นการสลักขึ้นมาภายหลังจากภาพสลักใหญ่กลุ่มแรก

กลุ่มแรกทางซ้ายมือของภาพสลักกลุ่มใหญ่ เป็นรูปกลุ่มบุคคลเหนือหัวสิงห์ทวารบาล .. เป็นภาพของพระศิวะและพระโอรสอันได้แก่ พระคเณศทรงช้าง พระศิวะทรงสิงห์ (อสูร) และขันทกุมาร ทรงนกยูง

กลุ่มภาพที่สองในกรอบรวยนาคทางซ้ายมือสุด .. เป็นภาพวิษณุอนันตศายินปัทมนาภะในตอนกำเนิดโลก กับภาพ “วามนาวตาร” หรือ “นารายณ์ตรีวิกรม” ตอนกำราบ "อสูรพลี-มหาพาลี” ที่มีภาพของพระแม่ภูมิเทวีกำลังรองรับพระบาท และภาพของพญาหมี "ชามพวาน" ผู้กำเนิดจากพระพรหม ช่วยเหลือพระอวตารในการก้าว 3 โลก

กลุ่มภาพที่สามอยู่ทางขวามือสุด ... เป็นภาพของบุคคล 2 กลุ่มย่อย แบ่งเป็นกลุ่ม 3 คน (ภาพใหญ่) และ 2 คน (ภาพเล็ก)
. โดยกลุ่มสามคนทางซ้ายเหนือจารึกนั้น ตรงกลางคือพระศิวะถือคทาตรีศูลในภาค “มหาฤๅษี/โยคี มีภาพพระนางปารวตีประคองก้านดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายทาบบนพระอุระแสดงความเคารพ (สวัสดิกะมุทรา) อยู่เคียงข้าง เทพเจ้าแสดงวันทาอัญชุลี และเทพเจ้าคู่ชายหญิงถือดอกบัวเอามือทาบบนหน้าอกแสดงความเคารพ เป็นภาพมงคลหมายถึงการแสดงความเคารพแก่ท่านศิวะโสมะและเหล่าผู้สาวกศรัทธา ที่ได้มาบำเพ็ญพรต ณ มเหนทรบรรพตแห่งนี้ ตามความที่จารึกว่า “....ถวายการสวดบูชาโดยไม่มียกเว้นว่าจะเป็นเทพองค์ใด ...เหล่าเทพเจ้าและพระเทวีทั้งหลายจะทรงประทานเส้นทางสู่สวรรค์ให้แก่เขา......”

โขดหินทรายที่อยู่ใกล้เคียงกัน ยังปรากฏภาพสลักเป็นกลุ่ม ๆ ตามเพิงหินและซอกหลืบของโขดหินขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจะที่ตั้งอาศรมของนักพรตคนอื่นๆ ..

มีภาพของพระวิษณุอนันตศายิน-ปัทมนาภะ (พระวิษณุผู้นอนอยู่เหนือพระยานาคอนันตนาคราช) หรือที่เรียกอีกชื่อคือ นารายณ์บรรทมสินธุ์ อันเป็นชื่อเรียกกรณีกิจที่สำคัญตอนหนึ่งของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ .. แสดงถึงเรื่องราวของการสร้างโลก อันเป็นปฐมภูมิของการกำเนิดสรรพสิ่งทั้งปวงตามคติในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

การบรรทมสินธ์ของพระนารายณ์ .. เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่โลกถูกทำลายจมอยู่ใต้น้ำ บรรดาเหล่าพระพรหมและฤาษีอยู่ในโลกเบื้องบน ได้พากันมาอ้อนวอนพระนารายณ์ให้สร้างโลกขึ้นมาใหม่ พระนารายณ์จึงเข้าโยคะนิทรา คือการทำโยคะในขณะที่กำลังนอน โดยได้บรรทมอยู่เหนือพระยานาคอนันตนาคราช กลางเกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนมโดยมีพระนางลักษมีหรือพระศรีประคองพระบาท
. ในที่สุดได้บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี(สะดือ)ของพระองค์ โดยมีพระพรหมประทับนั่งอยู่บนดอกบัว เพื่อทำหน้าที่สร้างโลกและสรรพสิ่งต่างๆอีกครั้ง ภายหลังจากการสร้างโลกแล้วเสร็จ พระนารายณ์ก็จะเป็นผู้ดูแลปกป้องรักษาโลกจนครบกำหนด จากนั้นพระนารายณ์ก็จะทำลายล้างโลก เมื่อนั้นพระนารายณ์จะบรรทมสินธุ์เพื่อให้กำเนิดพระพรหมเช่นนี้ต่อไป ระยะเวลาของการสร้างโลกขึ้นมาและทำลายล้างไปเรียกว่า 1 กัลป์

ภาพสลักพระคเณศ 8 กร .. พระคเณศ เป็นเทพแห่งสติปัญญา เทพแห่งศิลปะความรู้ และความสำเร็จทั้งมวล

หากเดินไปด้านของเนินอันเป็นที่ตั้งของภาพสลักกลุ่มใหญ่ .. มีภาพพระนารายณ์ทรงสุบรรณ ซึ่งการแกะสลักหินสมบูรณ์เฉพาะภาพของพญาครุฑ ส่วนภาพสลักของพระนารายณ์ยังไม่เสร็จ ปรากฏเพียงเค้าโครงการร่างภาพ

พระนารายณ์ทรงสุบรรณ มีความหมายเดียวกันกับ พระวิษณุทรงครุฑ เนื่องจาก นารายณะ (ไทยเรียก นารายณ์) เป็นพระนามหนึ่งของพระวิษณุ ส่วนสุบรรณ ก็เป็นชื่อเรียก ครุฑ หรือ พญาครุฑ พาหนะของพระวิษณุ

***REF : https://www.facebook.com/EJeab.Academy

น้ำตกพลิ้ว จันทบุรี .. ลมหายใจของความทรงจำน้ำตกพลิ้ว .. ตั้งอยู่ในเขตที่ทำการเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ตำบลพลิ้ว อำเภอ...
10/10/2022

น้ำตกพลิ้ว จันทบุรี .. ลมหายใจของความทรงจำ

น้ำตกพลิ้ว .. ตั้งอยู่ในเขตที่ทำการเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 15 กิโลเมตร

น้ำตกพลิ้ว .. เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดจันทบุรี บริเวณโดยรอบน้ำตก เป็นป่าดิบชื้น มีต้นไม้มากมาย เป็นพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้น ฝนตกชุก จึงมีน้ำตลอดทั้งปี

ที่มาของคำว่า "พลิ้ว" คือเป็นบริเวณที่มีต้นพลิ้ว ที่เป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง มีผลเล็กขนาดเท่าลูกเกด สีเหลืองเรื่อๆ สามารถนำเปลือกมาใช้ควั่นทำเชือก เป็นไม้ที่มีมากในแถบนี้ หรืออาจจะมาจากภาษาชองของชาวพื้นเมือง ที่แปลว่า ทราย หรือหาดทราย

น้ำตกพลิ้ว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีความแปลกกว่าน้ำตกอื่น ตรงที่เป็นน้ำตกที่มีเพียงชั้นเดียว มีต้นน้ำมาจากธารน้ำ 2 สาย สายหนึ่งไหลมาจากต้นน้ำ ไหลลอดตามแนวซอกหิน มาบรรจบกับอีกสายหนึ่งที่เล็กกว่า แล้ว ตกจากหน้าผาสูงราว 20 เมตร กระทบยังแอ่งน้ำขนาดใหญ่ด้านล่าง ซึ่งลึกราว 2 เมตร พื้นด้านล่างเป็นหิน และทราย จึงทำให้น้ำในแอ่งใสอยู่ตลอด
. จากหน้าน้ำตก สายน้ำไหลต่อไปเป็นลำธารในระยะ 800 เมตร มีความลึกไม่มาก บริเวณนี้สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย

ความประทับใจของพระพุทธเจ้าหลวง

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ช่วงปี พ.ศ. 2417 - 2424 ทรงเสด็จประพาสต้นมายังจังหวัดจันทบุรีหลายครั้ง และเสด็จมายังน้ำตกพลิ้วถึง 4 ครั้ง ทรงมีความประทับใจในความสวยงามของน้ำตกพลิ้ว และเคยตรัสยกย่องว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในบรรดาที่พระองค์ทรงเคยเสด็จมา

"เราได้เห็นน้ำตกอย่างนี้มาสองสามแห่ง คือที่ปีนัง เกาะช้าง และสีพยา เห็นไม่มีที่ไหนจะงามกว่าที่นี่เลย ถ้าจะให้เรานั่งดูอยู่ยังค่ำก็แทบจะได้ด้วยเย็นสบายจริง"
. ถึงแม้ว่าการเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้วในสมัยก่อนใช้เวลาในการเดินทางนาน และมีความยากลำบากในการเข้าถึง การเสด็จของพระพุทธเจ้าหลวงมายังน้ำตกพลิ้ว จะต้องจอดเรือพระที่นั่งไว้ที่ท่าเรือแหลมสิงห์ แล้วล่องเรือเล็กมาตามลำน้ำจันทบุรี เข้าสู่คลองพลิ้ว คลองยายดำ จนถึงวัดท่าเรือ จากนั้นต้องทรงม้า ผ่านไร่นาบริเวณบ้านชากชะอม เข้าไปในป่า จนถึงเชิงเขาสระบาป แต่พระองค์ก็ทรงมีความประทับใจเมื่อได้เสด็จมาถึงน้ำตก และทรงบรรยายถึงความสวยงามของน้ำตกพลิ้วไว้ในบทพระราชนิพนธ์ ดังเช่น

น้ำพุดุดั้นยอด บรรพต
กระทบเหลี่ยมศิลาลด ล่มพื้น
ขาวดังกษิรรศ รินร่วง โรยแฮ
พร่างพร่างละอองชื้น เช่นน้ำสุคนธ์โปรย
ชลธารปานน้ำทิพย์ มาโปรย สรงฤา
เสียวแต่นามชวนโหย ละห้อย
เรียกพลิ้วโอ๊ยอกโอย ฉวยบิด เบียนนา
แม้ว่าบิดพลิ้วน้อย หนึ่งแล้วจำตาย

ด้วยความประทับใจในบรรยากาศ และธรรมชาติโดยรอบของน้ำตกพลิ้ว พระองค์ทรงเสด็จมายังน้ำตกพลิ้วหลายครั้ง ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเสด็จมา พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี เอกอัครมเหสี ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างอนุสรณ์แห่งความรัก ความทรงจำ อันมีต่อพระนางอันเป็นที่รักไว้ ณ น้ำตกพลิ้วแห่งนี้ด้วย

Ref : https://www.ceediz.com/th/travel/chanthaburi/sp/a/%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b9%89%e0%b8%a7-%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b5.161155/

10/10/2022
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร .. ปราจีนบุรีเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นบุตรคนโตของเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย อภัย...
08/09/2022

ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร .. ปราจีนบุรี

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นบุตรคนโตของเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย อภัยวงศ์) กับท่านผู้หญิงทับทิม เกิดที่เมืองพระตะบอง ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๐๔

ท่านผู้หญิงทับทิมนั้น ท่านเป็นพวกบุนนาค เป็นบุตรเจ้าพระยามหาเสนา (น้อย) ลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) ต้นสกุลบุนนาค ... เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกก็หนีพม่าไปอยู่กัมพูชา และมีธิดาคนหนึ่งคือทับทิม ซึ่งต่อมาคือท่านผู้หญิงของเจ้าพระยาอภัยฯ

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๕ ... จึงนับญาติกับเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ว่าเป็นคนในตระกูลบุนนาคเช่นเดียวกันท่าน

ในวัยเยาว์ ท่านเจ้าคุณบิดาได้นำบุตรชายคนโตเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว .. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศึกษาราชการในสำนักสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จนได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นข้าราชการกรมมหาดเล็ก มีบรรดาศักดิ์เป็นนายรองเล่ห์อาวุธ รองหุ้มแพรมหาดเล็ก ... ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น พระอภัยพิทักษ์ ออกไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยราชการเจ้าเมืองพระตะบองอยู่กับเจ้าคุณบิดา

ครั้นเจ้าพระยาคทาธรฯ (เยีย) ผู้บิดา ถึงแก่อสัญกรรม พระอภัยพิทักษ์ (ชุ่ม) ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาคทาธรธรณินทร์ ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง สืบแทน

ผู้หลักผู้ใหญ่ในราชสำนักสมัยนั้น... ยกย่องพระยาคทาธรฯ เป็นอันมากว่ามีกิริยามารยาทงาม รอบรู้ราชการ คุ้นเคยกับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางมากราย ... ที่สำคัญคือมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เป็นที่สุด
ความจงรักภักดีของท่าน เห็นได้จากเมื่อมีพระบรมราโชบายรวมศูนย์ คือจัดวิธีการปกครองหัวเมืองเขมรเสียใหม่ โดยรวมเมืองพระตะบองและเมืองใกล้เคียงที่เคยขึ้นต่อไทย จัดตั้งเป็น "มณฑลเขมร" ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "มณฑลตะวันออก" และ "มณฑลบูรพา" ในที่สุด ให้มีสมุหเทศาภิบาลปกครอง มีเมืองศรีโสภณเป็นศูนย์กลาง ซึ่งนับเป็นการทอนอำนาจเจ้าเมืองพระตะบองโดยตรง ... แต่พระยาคทาธรฯ ก็สนองพระบรมราโชบายนี้เต็มที่ ไม่มีทีท่ากระด้างกระเดื่องแต่อย่างใด

ขณะนั้นเมืองพระตะบองเป็นเหมือนเมืองหน้าด่านกันชนระหว่างไทยกับเขมรซึ่งตกเป็นของฝรั่งเศส ... พระยาคทาธรฯ จึงต้องระวังตัวมาก ถ้าไปมีท่าทีประจบประแจงฝรั่งเศส ทางไทยก็จะระแวง ... ครั้นถ้าไปก้าวร้าวอวดดี ฝรั่งเศสก็จะหาว่ารุกราน ... แต่พระยาคทาธรฯ ก็รักษาตัวได้อย่างดี ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายฝรั่งเศสก็ไม่ได้รู้สึกขัดเคืองแต่อย่างใด

เมื่อพระยาคทาธรฯ เป็นผู้สำเร็จฯ เมืองพระตะบอง ก็เลยเรียกได้ว่าท่านตกอยู่ในวงล้อมของฝรั่งเศส แถมยังมีสมุหเทศาภิบาลที่เมืองศรีโสภณกำกับอยู่อีกชั้นหนึ่ง

แต่ต่อมาเมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๖ พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (ดั่น) สมุหเทศาภิบาลมณฑลเขมรถึงแก่อนิจกรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นทั้งสมุหเทศาฯ มณฑลบูรพา ควบกับผู้สำเร็จฯ เมืองพระตะบองทั้งสองตำแหน่ง

ในศกที่ท่านได้รับหน้าที่ควบสองตำแหน่งนั้นเอง ... ฝรั่งเศสก็หาเรื่องเข้ามารุกรานถึงเขตไทย ยึดเมืองจันทบุรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเจรจาแลกเปลี่ยนดินแดนคืน โดยยกฝั่งขวาแม่น้ำโขง ได้แก่เมืองมโนไพร และจำปาศักดิ์ ให้ฝรั่งเศสไป

แต่ฝรั่งเศสยังใช้เล่ห์เหลี่ยม พอรับเอาดินแดนแลกเปลี่ยนคืนนั้นแล้ว ก็หันไปยึดเมืองตราดและเกาะต่างๆ จนถึงเกาะกูด ต่อเป็นของแถม ในที่สุดไทยจึงต้องทำสัญญาอีกครั้งเมื่อปี ๒๔๔๙ ยกมณฑลบูรพา ซึ่งมีเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ซึ่งเคยขึ้นต่อไทยมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ให้ฝรั่งเศสไป เพื่อและเมืองตราดและเกาะต่างๆ กลับคืนมา

ระหว่างที่ไทยมีปัญหาพิพาทอยู่กับฝรั่งเศส พระยาคทาทรฯ ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า

"บิดาและปู่ได้เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทมาหลายชั่วชั้นบรรพบุรุษแล้ว ไม่ปรารถนาจะย้ายไปเป็นข้ากรุงกัมพูชา ถ้าพระราชทานเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ไปเป็นของกรุงกัมพูชาเมื่อใด ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต อพยพครอบครัวบุตรหลาน และภูมิลำเนา เข้ามารับราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่ในกรุงเทพฯ"

ว่ากันว่า... พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงซาบซึ้งในน้ำใจจงรักภักดีของพระยาคทาธรธรณินทร์ (ชุ่ม) เป็นอย่างมาก เพราะจริงๆ แล้วถ้าเจ้าคุณคทาธรฯ จะอยู่เมืองพระตะบองต่อไป ฝ่ายฝรั่งเศสก็คงยินดีชุบเลี้ยง เพราะท่านมีวาสนาบารมีมาก

ครั้นถึงคราวที่ไทยทำสัญญายกดินแดนมณฑลบูรพาให้ฝรั่งเศส ... พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงทรงตั้งเงื่อนไขว่าให้ฝรั่งเศสชดใช้เงินค่าขนย้ายสัมภาระสำมะโนครัวให้แก่พระยาคทาธรฯ เป็นจำนวนถึงปีละแสนเหรียญ ทุกปีจนตลอดชีวิต และให้ยอมให้พระยาคทาธรฯ ย้ายครอบครัวและสมบัติเข้ากรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกตามประสงค์ทุกประการ พระยาคทาธรฯ จึงได้เริ่มอพยพครอบครัวเข้าเมืองไทยผ่านทางปราจีนบุรี

เล่าลือกันว่าการลำเลียงทรัพย์สินครั้งนั้นยิ่งใหญ่เป็นกองคาราวานมโหฬารมาก เพราะจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เพียงย้ายบ้านเท่านั้น แต่เปรียบได้กับการย้ายเมืองที่เคยตั้งมั่นมานับร้อยปี

นายควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นบุตรคนหนึ่งของท่านเจ้าคุณฯ ได้เคยเล่าไว้ว่า
"เมื่อเราย้ายครอบครัวมา ผมอายุ ๔ ขวบ ก็จำอะไรไม่ค่อยได้นอกจากซน ขี่ช้างบ้าง ขี่ม้าบ้าง ถ้าท่านอยากรู้ว่าเขามากันยังไง โปรดอ่านดูหนังสือตาไซฟาเดน (Seiden-faden) เวลานั้นมียศเป็นนายร้อยตำรวจเอก ซึ่งมีหน้าที่ไปรับ และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อย่างล้นพ้น ให้เกณฑ์คนเกณฑ์เกวียนไปรับ นอกจากเราจะบรรทุกเอามาจากทางโน้นแล้ว ยังมีพลเมืองเขมรที่ติดตามมาอีกมาก เราเดินทางรอนแรมมาตามป่า ไม่มีถนนอย่างเวลานี้ เป็นเวลาแรมเดือนกว่าจะมาถึงปราจีนบุรี"

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงคำนึงถึงความจงรักภักดีของพระยาคทาธรธรณินทร์ (ชุ่ม) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองและสมุหเทศาภิบาลมณฑลบูรพา คนสุดท้าย ในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๕๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น

"เจ้าพระยาอภัยภูเบศร บรมนเรศร์สวามิภักดิ์ สมบูรณ์ศักดิ์สกุลพันธ์ ยุตธรรม์สุรภาพอัธยาศรัย อภัยพิริยบรากรมพาหุ" .. มีตำแหน่งในราชการกระทรวงมหาดไทย ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ ไร่ เช่นเดียวกับเจ้าพระยาทั้งหลาย และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) ได้ปลูกตึกหลังใหญ่อยู่ที่ยศเส ซึ่งบัดนี้คือบริเวณกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นที่พำนักในกรุงเทพมหานคร
ต่อมา ... ท่านได้กราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองปราจีนบุรีอีกแห่งหนึ่ง เพราะท่านนิยมไพร ชอบผจญภัย เที่ยวป่าล่าสัตว์ การอยู่ในกรุง ไม่ใคร่จะต้องอัธยาศัยท่านเจ้าพระยาฯ นัก ... เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จึงไปสร้างบ้านเรือนอยู่ปราจีนบุรีแต่นั้นมา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงทราบว่าเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ชอบเที่ยวป่า ... ในปีหนึ่ง จึงมีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสเมืองปราจีนบุรี ท่านเจ้าพระยาฯ ก็ตื่นเต้นยินดีมาก จัดเตรียมช้างม้าพาหนะทุกอย่าง และตัวท่านเองก็ขึ้นขี่คอช้างเป็นควาญ คอยนำเสด็จประพาสทั่วดงศรีมหาโพธิ์ เป็นที่ทรงสำราญพระราชหฤทัยอย่างมาก

ดังที่มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานแก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ถึงสองฉบับ ใจความเกี่ยวกับเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีดังนี้
"เวลาบ่าย ได้ลงเรือแจวขึ้นไปบ้านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปประมาณสัก ๑๕ มินิต ที่เขาได้เลือกดีในแถบนี้ แลเห็นเขาดูเหมือนอยู่ใกล้ แต่ระยะทาง ๓ เส้นเศษ"

"รุ่งขึ้นวันที่ ๑๘ ขึ้นช้างพังหลังดีของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อยู่ข้างจะย่อม เดินไม่เต็มฝีย่าง หลังเรียบดี ชื่อ กปุม ลองทายดูถีว่าจะแปลว่ากระไร พอพ่อได้ยินก็เข้าใจ แต่เพื่อจะให้รู้แน่จึงถามคำแปล ก็ได้ความว่าดอกไม้ตูม คือคำที่เราใช้ว่ากระพุม หรือกรรพุม ยอกรกรรพุม ก็คือทำอุ้งมือเป็นตูม เป็นภาษาที่ใช้ในคำไทย...
.. เจ้าพระยาอภัยภูเบศรทำกับข้าวป่าเลี้ยง คือ ไก่เผา ปลาเผา มีผัดน้ำพริก ซึ่งเป็นของจะทำได้ในป่าง่ายๆ ไม่สู้ต้องการภาชนะสำหรับหุงต้ม ทำอร่อยดีมาก เลี้ยงกันแล้วกลับลงมาท่า ได้เลี้ยงน้ำชาอย่างสูงคือขนมจีนแกงไก่อีกครั้ง แล้วจึงได้ลงเรือล่องลงมาพลับพลาเมืองปราจีน ...
.. ลืมบอกว่าช้างที่ไปวันนี้ เจ้าพระยาอภัยภูเบศรทำคอเอง คล่องแคล่วดีมาก แต่ช้างใหญ่ๆ เขาส่งออกไปตระเตรียมที่สำหรับจะตามช้างสำคัญ... ที่เลี้ยงช้างเจ้าพระยาอภัยภูเบศรย้ายจากปราจีนไปเลี้ยงสระขุด อยู่ในนี้แกทนปรับไปกินนาเขาไม่ไหว เพราะเหตุที่ดงพระรามเดี๋ยวนี้เป็นไร่ไปเกือบทั้งดงเสียแล้ว"
ต่อมา เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ปลูกตึกหลังใหญ่ทรงยุโรปบนที่ดินของท่าน ด้วยหวังจะได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นครั้งที่สอง แต่ไม่ทันได้เสด็จประพาสอีกครั้ง ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน

เล่ากันว่าท่านเจ้าพระยาฯ เสียใจมากที่ตึกดังกล่าวไม่ได้จัดเป็นที่รับเสด็จ และท่านก็ถือเสมอว่าตึกนั้นเป็นส่วนที่สร้างเพื่อถวายแด่พระมหากษัตริย์ ท่านจะไม่ยอมเข้าพักแรมในตึกใหญ่ดังกล่าวเป็นอันขาด แต่จะพำนักอยู่ในเรือนของท่านด้านหลังตึกแทน

นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ... ตึกดังกล่าวก็ได้ใช้เป็นที่รับเสด็จสมความตั้งใจของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จประพาสเมืองปราจีนบุรี เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๕

ท่านเจ้าพระยาฯ ได้จัดตึกใหญ่นั้นเป็นที่ประทับแรมอย่างสมพระเกียรติ เมื่อเสด็จกลับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ ๒ และพระราชทานยศเป็น "มหาเสวกโท" ประจำราชสำนักกระทรวงวัง นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ครั้นพุทธศักราช ๒๔๖๐ ได้ทรงพระมหากรุณาพระราชทานนามสกุลแก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) และผู้สืบเชื้อยายต่อจากนั้นไปว่า "อภัยวงศ์"
มหาเสวกโท เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ป่วยด้วยโรคเบาหวานเรื้อรังอยู่หลายปี เมื่อเข้าปัจฉิมกาลแห่งชีวิต ท่านได้หันมาบำเพ็ญกุศลเป็นอันมาก เช่น บริจาคทรัพย์สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล และที่สำคัญคือได้บูรณปฏิสังขรณ์ วัดแก้วพิจิตร ที่เมืองปราจีนบุรี ทั้งวัด โดยท่านเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างและออกแบบเอง

อุโบสถวัดแก้วพิจิตรจัดว่าเป็นศิลปะผสมผสานระหว่างไทย เขมร และยุโรปที่ท่านเจ้าพระยาฯ ประยุกต์ขึ้นอย่างงดงามวิจิตร และนับเป็นวัดประจำสกุล "อภัยวงศ์"

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองปราจีนบุรี เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๔๖๕ สิริอายุ ๖๑ ปี

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งศพบนตึกใหญ่ที่ท่านสร้างไว้รับเสด็จ นับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้พำนักร่างของท่านบนตึกที่สร้างขึ้นด้วยแรงแห่งความจักรักภักดีต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ พร้อมพระราชทานโกศและเครื่องประกอบเกียรติยศศพตามเกียรติยศเจ้าพระยาทุกประการ

ครั้นถึงอวสานแห่งการศพ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระราชทานเพลิงศพ ณ วัดแก้วพิจิตร ตามความประสงค์ ในงานพระราชทานเพลิงศพของท่านนั้น มีเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ อุตสาหะเสด็จและเดินทางมาเป็นจำนวนมาก มี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นอาทิ
บุตรธิดาของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์)"

ท่านเจ้าพระยาฯ มีบุตรธิดาหลายคน เฉพาะที่เกิดจากเอกภริยา คือคุณหญิงสอิ้ง คทาธรธรณินทร์ ซึ่งถึงแก่กรรมสมัยเจ้าพระยาฯ ท่านยังเป็นพระยาคทาทรฯ นั้นได้แก่

หม่อมเชื่อม กฤดากร ณ อยุธยา ในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร
คุณหญิงรื่น กัลยาณวัฒนวิศิษฎ์ ภริยาพระยากัลยาณวัฒนวิศิษฎ์ (เชียร กัลยาณมิตร)
พระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์)
พระอภัยวงศ์วรเศรษฐ (ช่วง อภัยวงศ์)
บุตรคนอื่นๆ ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่มีชื่อเสียง เช่น
นายหมิว อภัยวงศ์ สถาปนิกผู้ออกแบบอาคารหลังคารูปโดมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลวงโกวิทอภัยวงศ์ หรือ นายควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ๔ สมัย
นายเชียด อภัยวงศ์ สามีของหม่อมหลวงพวงร้อย สนิทวงศ์ (ท่านผู้หญิงพวงร้อย อภัยวงศ์)
"หลานเจ้าพระยาอภัยภูเบศร"

พระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) บุตรคนโตของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ซึ่งได้รับพระราชทานตราจุลจอมเกล้าสืบตระกูล และเป็นผู้ได้รับพระราชทานราชทินนาม "อภัยภูเบศร" เช่นเดียวกับบิดานั้น มีภริยาคนหนึ่ง เกิดในสกุลบุนนาค ชื่อ "เล็ก" มีบุตรธิดาหลายคน คนสำคัญที่สุดชื่อติ๋ว หรือเครือแก้ว ต่อมาได้ถวายตัวเป็นข้าราชสำนักในรัชกาลที่ ๖ ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "สุวัทนา" และต่อมาได้ถวายตัวเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าจอมสุวัทนา ขึ้นเป็นเจ้า มีพระนามว่า "พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี"

พระนางเจ้าสุวัทนาฯ นี้เองที่หลานท่านเจ้าพระยาฯ ที่ได้ทำหน้าที่ชุบชีวิตตึกใหญ่ทรงยุโรปและนาม "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร" ให้มีเชื่อเสียงโด่งดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าจอมสุวัทนา พระอภัยวงศ์วรเศรษฐ (ช่วง อภัยวงศ์) ผู้รับมรดกบ้านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่ปราจีนบุรี จึงได้ขอพระราชทานน้อมเกล้าฯ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในจังหวัดปราจีนบุรีแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เป็นของทูลพระขวัญ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ก็ทรงพระมหากรุณาพระราชทานเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าจอมสุวัทนา
อย่างไรก็ดี พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ก็ไม่ได้ทรงนำไปใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนพระองค์ หากแต่ทรงพระกรุณาประทานตึกและที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในบริเวณที่ดินอันเป็นสมบัติของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรทั้งหมด ให้แก่ทางราชการมณฑลทหารบกที่ ๒ เพื่อให้ปรับเป็นสถานพยาบาลสำหรับทหารและประชาชนในละแวกใกล้เคียง
ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้เลือกหาที่ดินสำหรบสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัด กระทรวงกลาโหมจึงมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแก่กระทรวงมหาดไทย และได้ปรับปรุงต่อเติมเป็นโรงพยาบาล แล้วเสร็จ เปิดให้บริการแก่ผู้ป่วยทั่วไปเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๔

เมื่อสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เสด็จจากประเทศอังกฤษ นิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรแล้วเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๒ ได้ทรงพระกรุณาเอาพระทัยใส่อุปการะกิจการของโรงพยาบาลนี้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อทางราชการกราบทูลขอประทานนามโรงพยาบาล ก็โปรดประทานนามว่า "โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร" เพื่อเป็นเกียรติแก่พระบรรพบุรุษ
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ พร้อมด้วยพระนางเจ้าสุวัทนาฯ เสด็จไปทรงเปิดป้ายนามโรงพยาบาลด้วยพระองค์เอง และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ก็ทรงรับโรงพยาบาลไว้ในพระอุปถัมภ์

ฉะนั้น โรงพยาบาลประจำจังหวัดปราจีนบุรี จึงมีนามว่า "โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" เป็นเกียรติยศพิเศษต่างจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วไป
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ได้เสด็จไปทรงเยี่ยมกิจการหลายครั้ง และทรงพระกรุณาพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงโรงพยาบาลอยู่เนืองๆ

ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรอยู่ภายในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ตึกหลังนี้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร(ชุ่ม อภัยวงศ์) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2452 โดยให้บริษัทโฮวาร์ด เออร์สกิน เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง เพื่อถวายเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นตึกสองชั้นแบบยุโรป สมัยเรอเนสซองส์ มีมุขด้านหน้า ตรงกลางเป็นโดม ผนังด้านนอกเป็นปูนปั้นลายพรรณพฤกษาประดับซุ้มประตูและหน้าต่าง .. หน้าบันประดับปูนปั้นรูปต้นไม้ในกระถาง บนหลังคาตึกมีเครื่องวัดทิศทางลมทำจากโลหะที่ยอดสุดหล่อเป็นรูปไก่

เดิมตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเดิม เป็นตึกอำนวยการ ได้มีการดัดแปลงทำชั้นล่างเป็นห้องตรวจโรค ห้องจำหน่ายยา และห้องผ่าตัด ชั้นบนทำหน้าที่รับคนไขัหญิง โดยมีเรือนคนไข้ชายแยกต่างหาก มีเตียงรับคนไข้ 50 เตียง มีโรงประกอบอาหาร คนไข้ โรงซักฟอก ที่เก็บศพ เรือนพักคนงาน บ้านนายแพทย์ อย่างละ 1 หลัง บ้านพักพยาบาลอีก 3 หลัง การเข้าถึงโรงพยาบาล เข้าได้ทางเรือเพียงอย่างเดียว จนมีการสร้างถนนขึ้นในปี พ.ศ. 2486 จนถึงปี พ.ศ. 2512 ตึกอำนวยการในปัจจุบันได้ก่อสร้างเสร็จ ส่วนตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในการประชุมสัมมนาในบางกรณี

ในปี พ.ศ. 2533 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นโบราณสถานของชาติ ต่อมาได้มีการบูรณะตึกครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2537 โดยงบประมาณของจังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 2.5 ล้านบาท และคุณป้าจรวย ประสมสน บริจาคสมทบอีก 100,000 บาท โดยมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศรขึ้น

ภายในตึกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ ปีกด้านหนึ่งจัดเป็นส่วนนิทรรศการประวัติของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

พระประวัติพระอุปถัมภิกาของโรงพยาบาล คือ พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ในฐานะที่ทรงเป็นหลานปู่ของท่านเจ้าพระยาฯ และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ในฐานะที่ทรงเป็นเหลนของท่านเจ้าพระยา รวมถึงประวัติโรงพยาบาล

อีกปีกหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร .. รวบรวมอนุรักษ์ตำราไทย สมุนไพรไทย การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านของจังหวัดปราจีนบุรี อีกทั้งยังเป็นแหล่งการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพร และการแพทย์ของท้องถิ่น

มุมหนึ่งภายในตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ชั้นบน

อีกมุมหนึ่งของการจัดแสดงภูมิปัญญาทางการสาธารณสุข และการแพทย์แผนไทยในสมัยโบราณ
อุปกรณ์ในการบด ผสมยาแผนไทย

ชั้นล่างจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สมุนไพร มีตู้บรรจุเครื่องยาไทยและอุปกรณ์การแพทย์แผนไทยจำนวนมาก

มุมหนึ่งของอุปกรณ์ทางการแพทย์แผนไทยในส่วนของการจัดแสดงที่ชั้นล่าง

Ref : http://www.oknation.net/blog/supawan/2015/05/16/entry-1

02/09/2022
เขาช่องลม เขื่อนขุนด่านปราการชล .. รักลม หลงน้ำการเดินทาง .. หลายครั้งที่เหมือนกับเราออกไปค้นหาอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นบาง...
02/09/2022

เขาช่องลม เขื่อนขุนด่านปราการชล .. รักลม หลงน้ำ

การเดินทาง .. หลายครั้งที่เหมือนกับเราออกไปค้นหาอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นบางสิ่งที่เกือบจะจับต้องได้ .. แต่ยังคงขาดหายไป
. หรือจะเป็นการพูดคุยกับตัวเอง โดยที่จุดหมายปลายทางไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด หากแต่ประสบการณ์ และสิ่งได้สัมผัส ได้พบเห็น กลับเป็นสิ่งที่มีค่ามากในตัวเอง

ก่อนเดินทางมาที่ นครนายก .. ฉันไม่ได้มีความคาดหวังอะไรมากไปกว่าการได้ออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งกับกลุ่มเพื่อนที่เมื่อใช้เวลาด้วยกันแล้วสบายใจ หวังเพียงจะได้บันทึกความแตกต่างผ่านเลนส์กล้อง แล้วเก็บไว้ในความทรงจำ

การเดินทางที่แม้ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันวันที่ ด้วยระยะทางไม่กี่ร้อยกิโลเมตรที่เราเดินไปตามเส้นทางด้วยกัน เราได้แบ่งปันความยินดีและความฝัน ในดินแดนที่สวยงามอย่างยิ่ง และแน่นอนมันได้ช่วยหล่อหลอมจิตวิญญาณของเราด้วย

“เขาช่องลม” ตั้งอยู่ใน “เขื่อนขุนด่านปราการชล” จังหวัดนครนายก .. เป็นสถานที่ที่ใครบางคนบอกว่า “น้ำลดให้รีบเที่ยว” ด้วยเหตุที่ในช่วงราวเดือนมิ.ย.-ก.ย. น้ำในเขื่อนขุนด่านปราการชล จะลดระดับลงต่ำ ทำให้เขาช่องลมและจุดอื่น ๆ ในเขื่อนเผยความงามที่ซุกซ่อนอยู่ใต้น้ำออกมา และเป็นช่วงเวลาที่สถานที่เหล่านี้สวยงามเป็นพิเศษ

ฤดูกาล … สำหรับใครบางคนอาจจะเป็นแค่วันธรรมดาๆวันหนึ่ง แต่ในธรรมชาติการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล อาจจะนำมาซึ่งความสวยงามที่แตกต่าง

“เขาช่องลม” ในวันที่เราไปเยือนในช่วงเดือนสิงหาคม จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวฮ๊อตฮิต ขึ้นทำเนียบสุดปังใกล้เมืองหลวงที่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในธรรมชาตินิยมมาล่องเรือชมทัศนียภาพที่ทั้งสวยงาม และน่าสนใจภายในทะเลสาบของเขื่อนแห่งนี้

การเดินทางเข้าไปชมทัศนียภาพภายใน เขาช่องลมนั้น จะต้องนั่งเรือเข้าไป .. โดยนักท่องเที่ยวจะต้องติดต่อซื้อตั๋วเพื่อล่องเรือที่มีบริการทุกวัน ที่ “ชมรมเรือหางยาวเขื่อนขุนด่าน” ซึ่งเป็นธุรกิจบริการเรือนำเที่ยวของชุมชนในพื้นที่

ทางชมรมจะจัดคิวเรือให้วิ่งเป็นรอบ ๆ ใช้เวลารอบละไม่เกิน 2 ชั่วโมง พาล่องเรือนำชมใน 2 จุดหลัก .. เมื่อได้ตั๋ว ได้คิวแล้ว เราเดินลงบันได 225 ขั้น (ในช่วงน้ำลดระดับต่ำสุด) เพื่อลงเรือตามหมายเลขที่ได้รับมา

เรือของเราค่อยๆแล่นออกไปตามลำน้ำที่กว้างขวางเหมือนทะเลสาบ .. แนวสันเขื่อนขุนด่านปราการชล ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งของจังหวัดนครนายก จะเป็นสิ่งแรกที่เราจะเห็น

“เขื่อนขุนด่านปราการชล” .. เป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาวรวม 2,720 เมตร สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตร ประมง อุปโภค บริโภค แก้ปัญหาดินเปรี้ยว บรรเทาอุทกภัย รวมถึงเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดนครนายก

เรือของเราเริ่มแล่นลึกเข้าไปในอ่างเก็บน้ำ .. ในช่วงฤดูที่สายฝนโปรยปราย ชุ่มฉ่ำ นำความมีชีวิตชีวามาให้กับ ทุ่งหญ้า ลำธาร โขดหิน ที่ค่อยๆเผยโฉมหน้าและความงามที่เคยซุกซ่อนอยู่ใต้น้ำออกมาให้เราได้ชื่นชม

ภูเขา … ภูมิทัศน์อย่างหนึ่งที่โดดเด่นซึ่งมักจะถูกจับจ้องมองเพ่งโดยนักเดินทาง ..อาจเป็นหลายอย่างในสายตาของหลายคน ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด ความจริงพื้นฐานของภูเขาคือเป็นที่สถิตของความสูง ซึ่งล้วนถูกเหยียบย่ำมาแล้วโดยมนุษย์ธรรมดา … จะสูงส่งกับต่ำต้อย บางทีก็ยากจะจำแนก. แต่ผู้คนที่ย่างย่ำไปบนภูเขา ท้ายสุดก็ต้องเดินลงมา … ท้ายที่สุดก็ต้องคารวะแก่มหาบรรพตที่ตนล่วงเกิน. เช่นเดียวกับขุนเขา ชีวิตที่สูงส่งอาจถูกเหยียบย่ำได้ หากจะไม่มีวันถูกทำลาย …

“เขาช่องลม” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวคู่กับ “เขื่อนขุนด่านปราการชล” ... มีลักษณะเป็นขุนเขาขนาดย่อมบริเวณหลังสันเขื่อนขุนด่านผปราการชล .. ใครบางคนเล่าว่า ผืนป่าสีเขียวบนเขาที่เราเห็น เป็นผืนป่าเดียวกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยต้นน้ำ-แหล่งน้ำธรรมชาติส่วนหนึ่งจากป่าเขาใหญ่ได้ไหลลงมาสู่ทะเลสาบหรืออ่างเก็บน้ำของเขื่อนขุนด่านฯแห่งนี้ด้วย

ทิวทัศน์เขียวขจีของแนวไหล่เขาลอนลูกระนาดขนาดยักษ์ มองเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนราบเรีบยเหมือนมีใครมาตัดหญ้า ตกแต่งเหมือนสนามหญ้าสวยๆที่มีพื้นที่ติดต่อกันเป็นแนวยาว .. ส่วนช่วงบนที่น้ำไม่ท่วมเป็นป่าไม้สมบูรณ์สีเขียวเข้มดูงดงาม สบายตา

เรือลำน้อยล่องลอยผ่านสายน้ำระหว่างช่องเขามาได้ไม่นาน เราก็มาถึงจุดจอดแห่งแรกคือ “ต้นน้ำ” .. พื้นที่ช่วงนี้เป็นช่องเขาตามธรรมชาติ ยามน้ำลดระดับจะเผยความงามของวิวทิวทัศน์ทุ่งหญ้าบนเนินเขากว้างไกลใน 2 ฟากฝั่ง มองเห็นนกน้ำหลายชนิดที่มาหาอาหารในสายน้ำบินขึ้นๆลงๆ ท่ามกลางต้นไม้ที่ลักษณะเหมือนหญ้าที่มีดอกบอบบาง .. ความงามของธรรมชาติที่จะเห็นได้ ก็ต่อเมื่อเราก้าวเท้าออกมาท่องเที่ยว

ทิวทัศน์และเสน่ห์ความงามของเขาช่องลมที่ปรากฏในสายตา .. ดึงดูดให้ใครหลายคน ไปถ่ายรูป เซลฟี่ โพสทำท่าสวย ๆอย่างเอิกเกริก บ้างยืนบนโขดหิน หรือเดินเท่ ๆ โพสท่าถ่ายรูปในสายธารตื้นๆ ที่เต็มไปด้วยโขดหินน้อย ใหญ่ ที่เปี่ยมเสน่ห์ตามธรรมชาติ โดยมีพื้นที่สีเขียวของภูเขาเป็นฉากหลังที่งดงาม

บริเวณต้นน้ำมีทางเดินเลาะริมลำธาร และแยกขึ้นไปยังเนินเขา .. เมื่อเดินลึกเข้าไปตามทางเดิน จะมีเวิ้งลำธารน้ำเป็นรูปตัว S เช่นเดียวกับบริเวณปากทางใกล้จุดจอดเรือก็เป็นโค้งน้ำรูปตัว S เนินขุนเขา

ส่วนที่ฝั่งซ้ายมือ จะมีสายน้ำตกเล็ก ๆ ไหลมาจากต้นน้ำในผืนป่าใหญ่ ก่อนไหลลงสู่ทะเลสาบเขื่อนขุนด่าน เป็นอีกหนึ่งจุดน่าสนใจ ซึ่งที่ต้นน้ำมีหลากหลายมุมให้นักท่องเที่ยวเลือกถ่ายรูปกันตามใจชอบ

เรานั่งเรือต่อไปยังจุด 2 คือ “เขาช่องลม” ที่เป็นไฮไลท์สำคัญของกิจกรรมล่องเรือเที่ยวเขื่อนขุนด่านฯ ในทริปนี้

“เขาช่องลม” .. เราขึ้นไปเยือนพื้นที่ซึ่งที่ราบระหว่างก้นช่องเขา ซึ่งมีลำธารน้ำใสไหลเย็นที่ต้นน้ำไหลมาจาก “น้ำตกเหวนรก” ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
. ในลำธารมีโขดหิน ก้อนหินน้อย-ใหญ่ จำนวนมาก เช่นเดียวกับลำธารที่ต้นน้ำ แต่ที่นี่มองด้วยตาดูจะมีจำนวนก้อนหินเยอะกว่า และมีหินก้อนใหญ่ ๆ อยู่มากมาย

ในบริเวณนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงาม ทั้งมุมทุ่งหญ้า ป่าไม้ สายน้ำ ลำธาร โขดหิน โดยเฉพาะก้อนหินใหญ่กลางน้ำที่สวยและน่าสนใจเป็นพิเศษ .. นักท่องเที่ยวอย่างเรา ซึ่งมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก จึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจ และพยายามที่จะเก็บภาพความทรงจำกลับบ้านไปด้วยให้ได้มากที่สุด
. มุมมหาชน มุมยอดฮิตของนักท่องเที่ยว ที่ดูสวยงามทั้งในมุมมองลึกเข้าไป หรือในมุมที่มองย้อนกลับออกมา

… ห้วงยามที่ฉันใช้เวลาที่นี่ คล้ายรู้สึกดั่งสายน้ำ ที่ไร้สีสันเจาะจง ไร้รสชาติพิเศษ ไร้โครงสร้างตายตัว หากแต่เป็นธรรมชาติและการเคลื่อนไหล … บางครั้ง น้ำอาจหยุดนิ่ง แต่มันจะสามารถเอาชนะภาวะนี้ไปได้ และเมื่อใดที่น้ำสามารถหวนกลับคืนสู่สภาพเลื่อนไหลของมันเองได้ เมื่อนั้น น้ำจะพบกับธรรมชาติเดิมแท้ของตัวเอง
. เช่นเดียวกับมนุษย์ หากสามารถปลดปล่อยตัวเองกับความยึดติด เมื่อนั้นมนุษย์จะสามารถค้นพบธรรมชาติที่แท้ของตน

ใครบางคนบอกว่า .. หากเดินลึกเข้าไปในป่าประมาณ 1 กม.จากท่าขึ้นเรือเขาช่องลม จะพบกับ “น้ำตกเขาช่องลม” ไหลชุ่มฉ่ำอยู่ท่ามกลางผืนป่าใหญ่ แต่ถ้าใครอยากจะเดินไปน้ำตกเขาช่องลม ควรจะไปเป็นหมู่คณะ และห้ามเดินออกนอกเส้นทาง เพราะจากลักษณะของป่าและของทางเข้าน้ำตกที่ค่อนข้างรกก็อาจจะทำให้เราหลงป่าเอาได้ง่าย ๆ

เสน่ห์ของเขาช่องลมในช่วงที่น้ำในทะเลสาบเขื่อนขุนด่านฯ ลดระดับต่ำ ทำให้เราสามารถล่องเรือเข้าไปชมความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ได้

ผู้ที่มีคความประสงค์จะไปท่องเที่ยวที่ เขาช่องลม และ เขื่อนขุนด่านปราการชล สามารถสอบถามข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ในจังหวัดนครนายก ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายก (รับผิดชอบพื้นที่ นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว) โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284

ที่อยู่

Nonthaburi
11000

เบอร์โทรศัพท์

66818753563

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Supawan's Colorful Worldผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์


Nonthaburi สำนักงานตัวแทนจัดการท่องเที่ยวอื่นๆ

แสดงผลทั้งหมด