The Walking Backpack

  • Home
  • The Walking Backpack

The Walking Backpack IG: www.instagram.com/punpuapipat
FB: facebook.com/fasgfuew123
I travel alone with one backpack. Without a plan, my walking backpack will find a way.

IG: www.instagram.com/punpuapipat
Twitter: www.twitter.com/punpuapipat

อุปกรณ์ทีผมใช้: http://wp.me/p4ZzIX-5T

2022: A Year In Review - ปีสุด Consequential ที่โลกต้องไม่ลืมสิ้นปี 2022 แล้วนะครับ ปีที่ผ่านมา ชีวิตเราทุกคนล้มลุกคลุกค...
30/12/2022

2022: A Year In Review - ปีสุด Consequential ที่โลกต้องไม่ลืม

สิ้นปี 2022 แล้วนะครับ ปีที่ผ่านมา ชีวิตเราทุกคนล้มลุกคลุกคลาน แสนทรมาน ชีวิตผ่านสงครามกันมาทั้งปี จะเป็นปีที่คนทั้งโลกจะจดจำไปอีกนานแสนนาน ว่าเป็นปีที่ Consequential จะสงผลการทบโลกของเราไปอีก 5 - 10 ปี ในปี 2030 เราจะมองกลับมาในปีนี้และถามตัวเองว่า พวกเราทำอะไรลงไปกัน

และนี่คือ รีวิว 10 ข้อ ปี 2022 ในสายตาของคนอายุสามสิบต้นอย่างผม

1. เศรษฐกิจโลกที่ชิบหายสุดๆ
ปีที่ผ่านมาประเทศเกือบทุกประเทศในโลกเจอปัญหา เงินเฟ้อหนักสุดในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางสรหัฐอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 5% คุณเชื่อไหมครับว่า บัญชีเงินฝากธนาคารที่สิงคโปร์ของผม ดอกเบี้ย 4.85% สูงที่สุดที่เคยเป็นมาในชีวิต(ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นอีก) และนี่ละครับคือเหตุผลที่เงินบาทจะอ่อนค่าไปอีกนานๆ ข้าวของก็จะแพงแสนแพง เศรษฐกิจโลกตอนนี้อยู่ในสภาวะถดถอย (Recession) แล้ว

เศรษฐกิจ​โลกที่เคยเติบโตด้วย เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำๆ มันจบลงแล้วครับ โดยภาพรวมๆนะครับ เศรษฐกิจโลกก็จะเน่าๆแบบนี้ไปอีกสัก 2-3 ปี เศรษฐกิจไทยก็จะต้องอาศัยการบริโภคในไปประเทศไปเรื่อยๆ กับการท่องเที่ยวไปก่อน เงินลงทุนจากต่างประเทศ ช่วงนี้คงไม่มีหวัง

ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานมา 7 ปีนะครับ ปีนี้เศรษฐกิจโลกแย่ที่สุด โดยสาเหตุก็เพราะเราโตกับแบบไม่ยังยื่นมาหลายๆปีติดต่อกันมากๆ โดยเฉพาะหลังโควิด ที่รัฐบาลทั้งโลกอัดฉีดเงินเข้าไปในเศรษฐกิจแบบไม่ยัง และตอนนี้ ถึงเวลาเราที่เราต้องชดใช้กับผลลัพธ์ของการประทำของเรา

2. ปีแห่งการเดินทางหลังโควิด
ปีนี้ถือว่า เป็นจุดจบของโควิดอย่างแท้จริงๆ ผมติดโควิดช่วงกลางปีที่ผ่านมา ผมนอนไปหลับไป 2 วัน และมีอาการไอ้อีกเล็กน้อยๆ แต่ที่เหลือก็โอเคดีครับ

โดยรวบๆเรากับมาใช่ชีวิตแบบก่อนโควิดกันอีกครั้ง ที่สิงคโปร์ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยแล้ว และผมได้กลับเมืองไทยเป็น เวลาตั้ง 1 เดือน ครั้งแรกในรอบ 2 ปี ได้ไปฮ่องกง ไปญี่ปุ่น และ โดยรวมๆ เป็นปีที่เราปราบโควิดสำเร็จเสียที (ยกเว้นถ้าคุณอยู่ในประเทศจีนนะครับ)

ปีนี้ผมได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 2 อาทิตย์ครับ พูดได้คำเดี่ยว ญี่ปุ่นไม่เคยทำให้คุณผิดหวัง

3. สงครามบนทวีปยุโรป
คุณพ่อเคยพูดเมื่อปี 2006 แล้วว่า สงคราม และ รัฐประหาร เป็นสิ่งล้าสมัย และจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก
ประเทศไทยมี รัฐประหารปี 2006 และยังอยู่ใต้รัฐบาล 500 สส + 250 สว มาจนถึงทุกวันนี้
และปี 2022 รัสเซียก่อสงครามในยูเครน บนทวีปยุโรป ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ สงครามระหว่าง 2 ประเทศใหญ่ในยุโรป
โดยรวบๆแล้วนะครับ โลกของเราสงบ มีสันติภาพแบบพอประมาณ ไม่มีคนตายเป็นล้านๆคน มาตั้งสงครามโลกครั้งที่สอง

แต่คุณไม่รู้จริงๆครับ ว่าสงครามโลกครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไร ถ้าโลกยังมีผู้บ้าๆอย่างปูตินอยู่

4. ฮ้องเต้แห่งประเทศจีน
จีนเป็นประเทศที่สำคัฐที่สุดในโลกรองจากอเมริกาครับ เศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ อำนาจที่การทหารอันดับ 2 ของโลก และปีนี้เราได้เห็นการสถาปนาตัวเองของ สีจิ้นผิง สู้การเป็นผู้นำสูงสุดของจีนไปตลอดชีวิตตัวเอง และ เขาอาจจะเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในโลกก็เป็นได้ในตอนนี้

สามารถปิดประเทศที่มีคน 1.2 พันล้านคน สั้งล็อกดวานด์ได้ทั้งประเทศ และลองคิดดูนะครับว่า อีก 10 ปีข้างหน้า ใครจะเป็นผู้นำของประเทศจีน ผมว่า สีจิ้นผิง ก็ยังป็นอยู่

ผมโตขึ้นมาในโลกที่เปิดเสรี ในความสำคัญเรื่อง Globalization เดินทางไปทุกที่ในโลกได้ แต่ลูกของผมจะโตขึ้นมาในโลกที่ปิดกัน ประเทศยักษ์ใหญ่ ต่อสู่กันทางอ้อมตลอดเวลา

5. Apple ครองบ้านผม
หนักมาเหล่าเรื่องแล้ว 555 เอาเบาๆกันบาง ปฏิเสร ไม่ได้ว่าสิ่งที่เราใช่เวลาวันกับมันมากที่สุดก็คือ มือถึอ คอมพิวเตอร์ และปีนี้ ผมโดน Apple ครอบนำ ซื้อ product เข้าบ้าน ตรมาสละชิ้น ต้นปีเริ่มด้วย MacBook Air มาต่อที่ Apple Watch, AirPods Pod และจบท้ายปีที่ iPhone

ผมจะอธิบายว่าสิ่งนี้มันสำคัญยังไงครับ ในอดีตนะครับ Apple มีคู่แข่งอย่าง Windows และบริษัทต่างๆมากมาย ที่ราคาอาจจะถูกกว่านิดน้อย คุณภาพพอสู้ได้ แต่ปี สองปีที่ผ่านมา Apple โหดมาครับ ซัดคู่แข่งที่คน กวาดทุกตลาด ทำราคาได้ถูกเกือบที่สุด และคุณภาพเกินทุกยี่ห้อ โดยเฉพาะ Laptop ที่ในอดีต Asus และ Dell ยังพอสู้ได้ แต่ตอนนี้ ไม่มีใครสู้ Apple Silicon ได้จริงๆ นี้เป็นเหตุผลว่าทำไม Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก และจะเป็นเจ้าแห่งโลก IT ไปอีกเป็นสิบๆปี

6. ฟุตบอลโลก 2022
สำหรับผมฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมเฝ้ารอทุก 4 ปี เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ทำให้ผมย้อนวัย ไปยังวัยเด็กได้อีกครั้ง ปีนี้ผมดูเกือบทุกคู่ มีความสุขกับทัวร์นาเมนต์นี้มาก
โดยเฉพาะจุดจบที่แสนหอมหวาน Lionel Messi เป็นแชมป์โลกในฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเขา สวยงามอย่างเทพนิยาย

7. ปีที่อาชีพการงานของผมลงตัวขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากปีที่แล้วที่ผมเรียนป.โทจบ เปลี่ยนสายงาน ได้เลื่อนตำแหน่ง ปีนี้เป็นงานแรกที่ผมรู้สึกว่าอาชีพการงานลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้แปลว่าจะหยุดอยู่ตรงนี้นะครับ แต่คงเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่คิดกลับไปเริ่มต้นใหม่ ค้นหาตัวเองละ เอาสายเนี่ยละ และการที่ผมสามารถตัดสินใจแบบนี้ได้ มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจ สงบนิ่งลงได้เยอะเลยละ

แต่เราอาชีพการงาน เราทุกคนก็ต้องเดินต่อไป ไม่หยุดนิ่ง พยายามกันต่อสู้กันไปทุกๆวัน

8. Manta Ray
ปีนี้ผมแทบไม่ได้เดินทางแบบผจญภัย เท่าไรเลย แต่ตอนกลางปี ผมแอบหนีไปด่ำที่อันดามันหนึ่งอยู่ 6 Dive และ หนึ่งใน Dive นั้นผมได้เจอกับเจ้า Manta Ray เป็นประสบการณ์ที่จะจำ และโม้ไปจนวันตายเลยละ สวยงาม ยิ่งใหญ่มาก เจ้า Manta Ray

9. ปีที่ผมพยายามดูแลตัวเองมากขึ้น
ปีนี้ผมปั่นจักรยานไปเกือบๆ 2,000 กม. พยายามกินมันน้อยๆลง กินโค็กน้อยลงเยอะมาก แต่น้ำหนักตัวของผมมันไม่ลดลงเลยๆ 555 ชีวิตมันยากแสนยากอะไรขนาดนี้ นั้นละครับปีหน้าพยายามกันต่อไปเรื่อย


10. เจ้าตัวน้อยที่รอเราอยู่ปีหน้า
ปีนี้ผมแต่งงานครบ 1 ปีแล้วและถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับ ปีหน้าสักช่วงเดือนเมษายน เราจะมีเจ้า Walking Backpack ตัวน้อย เดินออกมาป่วนโลกของผมและภรรยา เป็น สิ่งที่เรา look forward to มากที่สุดในโลกละ ทั้งบ้านตอนนี้มีของเด็กทารกเต็มไปหมดเลย คุณพ่อ คุณแม่ และครอบครัว ทุกคนในเพจนี้ ตั้งตารอค่อย การมาของเรานะครับ แล้วเราเจอกัน

เท้าคู่นี้ เอาไปแบกเป้ท่องโลกนะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับ ปีหน้าช่วงสักเดือนเมษายน ครบรอบ 10 ปีของเพจ The Walking Backpac...
04/12/2022

เท้าคู่นี้ เอาไปแบกเป้ท่องโลกนะ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับ ปีหน้าช่วงสักเดือนเมษายน ครบรอบ 10 ปีของเพจ The Walking Backpack

ผมมีเจ้าตัวน้อยออกมาเดินท่องโลกเป็นเพื่อนอีกหนึ่งคน

เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสุดๆ ผมดีใจและก็เฝ้ารอ และอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆสักทีจริงๆ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะว่าวันหนึ่ง ผมจะต้องมารับผิดชอบชีวิต 1 ชีวิต ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้จริงๆ

ความรู้สึกของผมตลอดช่วงหลายเดือนนี้ที่ผ่านมา มีเยอะแยะมากมายแต่ถ้าจะให้สรุปสั่นๆนะ ก็น่าจะมี 3 ข้อนี้ทีผมคิดวนไปวนมาตลอดเวลา

1. ขอบคุณทุกสิ่งในโลกในที่ทำให้ผมตัดสินใจมาถึงจุดๆนี้จนได้ และขอบคุณคุณภรรยาในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

คุณรู้ไหมครับว่า มันมีหลายทางเลี่ยว หัวต่อในชีวิตมาก ที่ถ้าผมตัดสิ้นใจอีกแบบหนึ่ง ได้เด็กคนนี้ก็อาจจะไม่เดิดขึ้นก็ได้ 555 ไหนจะ หนีไปเรียนต่อต่างประเทศ กลับไทยไปนอนตีพุ่ง และโดยเฉพาะ ลาออกจากงานไปเดินทางรอบโลก Full-Time

ไอ้เรื่องลาออกนี่ ผมเคยคิดจะเอาจริงหนายครั้งเลยนะ เคยคิดว่าชีวิตในฝันคือ ต้องมีอาชีพเป็นนักเดินทาง...มองกับไปละ โชคดีมากไม่ได้เลือกเดินทางนั้น...เกือบไปแล้ววว

ขีวิตมันมีอะไรมีมากมายจริงๆครับ อาชีพ การงาน เพื่อน ความสัมพันธ์ passionในเรื่องอื่นๆ และการเป็นพ่อแม่คนก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที การเดินทางขึ้นเครื่องบินไม่สามารถสอนคุณได้

และที่สำคัญทีสุดใน Project นี้ก็คือคุณภรรยานั่นนะครับ ชีวิตของเราทั้งสองคน จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขอบคุณจริงๆ ทีเราเดินมาถึงตรงนี้

2. มีเรื่องมากมายที่เราอยากสอนเค้า

และวันนี้ก็มาถึงครับ ผมที่เรามีลูก ที่เป็นเหมือนผ้าสีขาว ที่เราจะสอนอะไรกับเค้าก็ได้ มีเรื่องเป็นร้อยล้านแบบที่ผมอยากสอนเค้า

ลูกเดินได้เมื่อไร เดี่ยวพ่อสอนให้ขี่จักรยาน 2 ล้อ

ต่อจากนั้น เดี่ยวพ่อสอนเล่นสกี้ตอนเราไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน

พาไปดำน้ำ ไปกินซี่โครงหมูร้านโปรดของพ่อ พาไปปีนขึ้นภูกระดึง

พ่อจะสอนถ่ายรูป สอนเตะบอล สอนในดูหนัง

และยังมีอีกเป็นล้านๆประสบการณ์ที่อยากไปทำด้วยกัน

แต่ก็นั้นละครับอย่าไปตั้งความหวังไว้มาก เกิดลูกเราไปได้ชอบสิ่งเดียวกับเราขึ้นมา ก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดแล้วนะ

3. สุดท้ายนี่ เราจะดูแลลูกของเราไว้ ไหมเนี่ยยย...

ผมเชื่อลึกๆว่าไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองพร้อม 100% ตอนนี้มีลูกคนแรก อาจจะมีพร้อมมาก พร้อมน้อย แต่ก็มีความกลัวในระดับหนึ่งละ

ผมก็ไม่รู้เหมือนนะครับว่า เราจะทำหน้าที่นี้ได้ดีขนาดไหน การเลี้ยงเด็กคนนี้ มันต้องมีค่าใช่จ่ายมากขนาดไหน

เคยไปเดินดูแผนกของเด็กทารกไหมครับ ไม่เคยรู้ว่ามีสิ่งจำเป็นมากมายมหาศาลขนาดนี้ 5555 ราคาก็แสนจะแพง

แต่ก็นั้นละครับ บางที่สิ่งเรานี้เป็นความคาดหวังของสังคม เป็นภาพที่สังคมบอกว่ามีเด็กคนหนึ่งต้องมีชีวิตแบบนี้ เรียนโรงเรียนแบบนี้ อะไรต่างๆนานๆ ทั้งๆที่ไอ้ตัวเด็กไม่ได้รู้อะไร และเข้าใจอะไรด้วยเลย

ผมจะแก้ปัญหานี้ แบบที่ผมแก้มาทุกปัญหาในชีวิต ค่อยๆจัดการมันวันนิดวันละหน่อย ค่อยๆแก้ไปเรี่อยๆ อาจจะไปกังวลเรื่องในอนาคตมากเกินไป

สุดท้ายนี้ ต่อจากนี้จนกว่าเด็กคนนี้จะโต ผมคงไม่ได้ไป เดินทางลุยๆที่ไหน แต่ที่บ้านผม เละแน่นอนครับ

ญี่ปุ่น 2022 ปีนี้ผมไปญี่ปุ่นมาแล้วว อิจฉากันทั้งหมู่บ้านกันเลยละซิ 555 รอนี้ผมต้องไปทำงานของบริษัทเลยไม่ได้เที่ยวอะไรมา...
03/12/2022

ญี่ปุ่น 2022

ปีนี้ผมไปญี่ปุ่นมาแล้วว อิจฉากันทั้งหมู่บ้านกันเลยละซิ 555
รอนี้ผมต้องไปทำงานของบริษัทเลยไม่ได้เที่ยวอะไรมากมาย ได้มีโอกาสไปเกียวโตสั้นๆ เป็นเมืองที่น่ารักมาก นี้เป็นรอบแรกเลยนะครับที่ผมได้ไปเที่ยวเกียวโต

ช่างเป็นเมืองที่ญี่ปุ่นแสนญี่ปุ่นจริงๆ อาหารอร่อยๆ เมืองสวยงามมากโดยเฉพาะย่าน Gion ที่มีสวยญี่ปุ่นใส่กิโมโนเดินถ่ายรูปกันรอบเมืองเลยละ

รูปถ่ายเซ็ทนี้ ผมเดินถ่ายเลยๆในญี่ปุ่นอยู่วันกว่าๆ เอามาแบ่งบันให้ที่คนลองดูละกันนะ

ญี่ปุ่นที่รักของทุกคน เค้าเปิดประเทศละ ตอนนี้ก็เหลือแค่ว่าคุณสู้ค่าตั๋วเครื่องบินไหมแค่นั้นละ 555

Lion Rock Hike 🥾🌳🌲วันนี้ผมจะพาทุกคนไปเดินเทรคกิ้งที่ฮ่องกง ใน Trail ที่ชื่อว่า Lion Rock อยู่บนเกาะ Kowloon นี้น่าจะเป็น...
13/10/2022

Lion Rock Hike 🥾🌳🌲

วันนี้ผมจะพาทุกคนไปเดินเทรคกิ้งที่ฮ่องกง ใน Trail ที่ชื่อว่า Lion Rock อยู่บนเกาะ Kowloon นี้น่าจะเป็นหนึ่งใน เดินทางเทรคที่สวยที่สุดในฮ่องกงเลยละครับ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สูงที่สุด(สูงที่สุดในฮ่องกงคือภูเขา Tai Mo Shan)

โดย เทรคนี้ ใช่เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง (ถ้าคุณฟิตกว่าผม น่าจะ เดินจบได้ภายใน 2 ชั่วโมง) โดยเริ่มต้นจาก สถานนี MTR Wong Tai Sin เดินตามเส้นทางขึ้นไปเรื่อย ผ่านวัด Temple Hill Fat Jong ก่อนคุณจะเข้าสู้เส้นทางที่เป็น Trail ขึ้นไปตามป่า

ที่ยอดของ Lion Rock นะครับ ความสูงจะอยู่ที่ประมาณ 450 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยคุณจะพบกับก้อนหินก้อนใหญ่เป็นหน้าผ่าตั้งสง่า บนยอดของ Lion Rock นี้นะครับ สามารถเห็นวิวที่สวยมากๆๆ ของทั้งเกาะฮ่องกงได้เลยละ เป็น Trail ที่ผมคิดว่า วิวสวยที่สุด ที่ผมเคยเป็นในฮ่องกง

ผมแนะนำว่า ถ้าใครจะมาเดินเทรคที่นี้นะครับ ต้องเริ่มตั้งแต่เช้า อย่ามาต้นบ่ายๆ เพราะว่าฟ้าอาจจะมืดและกลับลงไปไม่ทัน

Passion  ถ้ามันหมดหายไป บางทีก็พอใช้เงินเต็มได้ 555บทความนี้ขำๆ อย่าซีเรียจนะครับ 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกหมด Passion กั...
10/10/2022

Passion ถ้ามันหมดหายไป บางทีก็พอใช้เงินเต็มได้ 555
บทความนี้ขำๆ อย่าซีเรียจนะครับ 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกหมด Passion กับการถ่ายรูปพอสมควรเลยละ โดยเฉพาะการทำวีดีโอ ที่มันเหนื่อยแสนจะเหนื่อยๆ และคนได้เห็นมันใน Facebook ก็น้อยแสนจะน้อย

และอีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะเจ้า COVID-19 เนี่ยละครับ ที่ทำเอา Blogger ท่องเที่ยวตายกันทั้งโลก สำหรับผมการทำเพจเป็นงานรอง ทำเพราะความรัก Passion ล้วนๆ พอมันขี้เกียจ ผมก็ไม่ทำ 555

แต่ก็นั้นละ มาฮ่องกงรอบนี้ ผมรอมานานมากๆ รอมา 5 ปี เมื่อไรเราจะได้ไปใช้กล้อง Full Frame กับเค้าสักที

และในที่สุดนะครับ วันนี้ก็มาถึง ผมมาฮ่องกงทั้งที่ ก็ต้องไป Mong Kok ซื้อกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ โดยผม รอ Sony มานานมากครับ เมื่อไร Sony จะออกกล้องที่จอพับกลับมาได้สักที่ และหลังจากรอมา 4 ปี กล้องมันก็ออกมาสักที มันก็ถึงเวลาของผม

เอาจริงๆนะครับ สำหรับผม ผมมีกำลังซื้อกล้อง Full Frame มานานๆละ แต่ก็เป็นคนประหยัด (ออกแนวไปทางขี้เหนียวมากกว่า) อะไรที่มันยังใช้ได้ ผมก็จะใช้ไปก่อน ไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรมันให้เปลืองตัง

แต่ความคิดแบบนี้ ผมว่าบางที ทำให้ผมพลาดโอกาสใน การ Enjoy ชีวิตแบบเต็มที่ นี้ตั้งแต่ซื้อมานั่งเล่นไม่หยุดเลย กล้องสมัยใหม่พวกนี้ มันฉลาดกว่า DSLR ที่ผมใช้อยู่มาหลายปีมาก

แต่มันก็พูดยากครับ การประหยัดเป็นเรื่องที่ดี ทำให้เรามีเงินเก็บ มีความมั่งคงทางการเงิน แต่บางที่การใช้เงินซื้อความสุข เต็ม Passion ให้ตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้เรามีความสุข เมื่อแรงทำงานต่อไป

การใช้เงินแบบพอดีๆ ไม่มาเกินไป ไม่น้อยเกินไป เป็นเส้นบางๆ ที่ทุกคนต้องหามันให้เจอครับ

Hong Kong แบบไม่ต้องกักตัวแบบ 0+3ตอนนี้ฮ่องกงเปิดประเทศแล้วนะครับ คนไทยสามารถไปเที่ยวฮ่องกง กินติ่มซำ ช้อปปิ้ง ได้แบบเหม...
09/10/2022

Hong Kong แบบไม่ต้องกักตัวแบบ 0+3

ตอนนี้ฮ่องกงเปิดประเทศแล้วนะครับ คนไทยสามารถไปเที่ยวฮ่องกง กินติ่มซำ ช้อปปิ้ง ได้แบบเหมือนในอดีตแล้ว แบบที่ผมพึ่งไปมา

โดยรอบนี้ นโยบายของรัฐบาลฮ่องกงเรียกว่า 0+3 ซึ่งนั้นก็คือคุณ ไม่ต้องกักตัวในโรงแรม ​(0 คืน) และ ต้องเฝ้าดูอาการต้องเองเป็นระยะเวลา 3 วัน​ซึ่งก็คือ 3 วันแรกที่คุณมาเที่ยว ฮ่องกง สามารถออกไปเดินเที่ยวได้ ช็อปปิ้งได้ แต่ไม่สามารถไปกินข้าวในร้านอาหารได้ 3 วันแรก คุณต้องห่อข้าวกับเข้ามากินที่โรงแรม

ฟังดูเหมือนลำบากนะครับ แต่จริงๆแล้วไม่ขนาดนั้น วันแรกคุณบินมาฮ่องกงตอนดึกๆ นับเป็น 1 วันละ แล้ววันที่ 2 และ 3 ออกไปช้อปปิ้ง เดินเล่น ถ่ายรูป และ วันที่ 3 คุณก็ออกไปกินข้าวตามร้านอาหารได้ตามใจชอบละ

ผมมาเที่ยวฮ่องกงรอบนี้ ตามภรรยามาครับ แฟนผมเป็นฮ่องกง ไม่ได้กับบ้านมา 3 ปีละ ครั้งนี้เลยมาอยู่นานๆ ยาวๆ 3 อาทิตย์ไปเลย เดี่ยวจะมารีวิวให้ฟังละกันนครับ ว่า มีทีเที่ยวใหม่ๆ อะไรบ้างและ มีร้านอาหารที่ไหน

มาฮ่องกงรอบนี้ ผมมีกระเป๋าใบใหม่มาใช้ด้วย นี้คือกระเป๋า Gaston Luga รุ่น Biten 15' มาใช้เดินทางด้วย เป็นกระเป๋าที่เหมาะมากกับ การเดินทางขึ้นเลงเครื่องบิน มี strap เอาไว้สวมกับเป๋าเดินทาง มีที่ใส่ Passport และกระเป๋าตังค์โดยเฉพาะ สวยมากเลยละครับ สำหรับใครที่สนใจนะครับ เข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ https://gastonluga.com

รายละเอียดเกี่ยวกับารกักตัว และเข้าฮ่องกง(https://www.coronavirus.gov.hk/pdf/concise_guide_inbound_ENG.pdf)

อะไรที่ดีเกินจริง ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้...The Rise of Millennials Scammers  ข่าวใหญ่ในวันอาทิตย์นี้ที่สิงคโปร์นะครับ คือเร...
24/07/2022

อะไรที่ดีเกินจริง ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้...The Rise of Millennials Scammers


ข่าวใหญ่ในวันอาทิตย์นี้ที่สิงคโปร์นะครับ คือเรื่องราวของคู่รักชาวไทยสิงคโปร์ที่ฉ้อโกง รับพรีออเดอร์สินค้าแบรนด์เนม นาฬิกา Rolex Patek Philip แต่ไม่ส่งของให้ลูกค้า ร่วมความเสียหายมากกว่า 850 ล้านบาทครับ

โดยฝ่ายชายเป็นคนสิงคโปร์ ชื่อ พี เจียเผิง (Pi Jiapeng) อายุ 26 ปี และฝ่ายหญิงภรรยาเป็นคนไทยชื่อนางศิริวิภา พันสุข (Siriwipa Pansuk) อายุ 27 ปี

โดยคาดกันว่าหัวโจ็กในการฉ้อโกงครั้งนี้นะครับคือ ภรรยาที่เป็นคนไทย แอน - ศิริวิภา พันสุข เจอกับสามีของเธอที่เป็นคนสิงคโปร์ ผ่านทาง Dating App แล้วก็ เป็นหญิงสายเปย์

เธอบอกว่าเธอมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยมาก มีเชื้อเจ้า และซื้อรถ McLaren ให้สามี แถมยังซื้อบ้านบนถนน Holland Road ให้เป็นบ้านแต่งงานของทั้งคู่

ความพึ่งแต่ว่า ทั้งบ้านและรถราคาแพงนี้ไปเช่ามาทั้งนั้นเพื่อสร้างภาพ ให้ลูกค้าเชื่อว่ารวยจริงๆ แถมฝ่ายหญิงนี้ยังมีประวัติการก่อคดีฉ้อโกงที่เกาหลีมาก่อน

โดยทั้งสองเป็นบริษัทรับพรีออเดอร์สินค้าแบรนด์เนม นาฬิกา Rolex Patek Philip กระเป๋าราคาแพงอีกมากมาย โดยมีการจดทะเบียนบริษัทเป็นเรื่องเป็นราว แถมยังมีการรับพรีออเดอร์จากลูกค้า ด้วยการจ่ายเงินราคาเต็มก่อนได้ของ เป็น Business Model การต้มตุ๋น แบบง่ายๆ แต่ประสบความสำเร็จได้ เพราะต่อแรกๆ สามารถหาของมาให้กับลูกค้าได้ โดยจะขายของให้ในราคาที่ถูกกว่าตลาด 10% แต่พอนานๆไปยอดพรีออเดอร์เข้ามาจาก 180 คน มูลค่ามากกว่า 850 ล้าน แล้วก็ชิ้งหนีเลย

โดยตอนหลอกชาวบ้านนี้ขับ รถสปอร์ท แต่ตอนนี้ออกนอกประเทศไปยังมาเลเซีย หนีบนตู้คอนเท็นเนอร์รถบรรทุก หลบไปแบบแรงงานต่างด้าว

งานนี้ทางการสิงคโปร์ก็ออกหมายจับละครับ เป็น Red Notice ของ Interpol คือตำรวจรอบโลกกำลังตามตัวกันอยู่

ผมบอกเลยครับว่ารอดยาก เดี๋ยวก็โดนจับ นอกจากว่าจะหอบเงินไปอยู่บนดอยอีก 30 ปี แถมมาเลเซียกับสิงคโปร์มีกฎหมายส่งผู้รายข้ามชาติกันอยู่แล้ว ไม่น่ารอด

จากเหตุการนี้นะครับ ผมมองว่ามันเป็นเทรนของปีนี้ ที่แก็งต้มตุ๋น ทุกรูปแบบกำลังกับมาครองเมือง

คิดดูง่ายนี้ครับ

คนธรรมดา โดน Zipmex+ ที่เอาเงินไป แล้วไม่คืน (ไม่มีทางได้คืนครับ ผมเสียใจด้วย)
คนชั้นกลาง โดนแก็งพรีออเดอร์ หลอกเงิน
คนรวยมหาศาลยังโดน บริษัท Crypto 3 Arrow Captial หลอกเงินไปเป็น พันล้าน

ที่ผมนำเสนอประเด็นนี้ไม่ใช่เพราะว่าหัวหน้าแก็งต้มตุ๋นเป็นคนไทยนะครับ (ผมก็เป็นคนไทยในต่างแดน และคนไทยอีกมากมายที่ทำอาชีพสุจริต) เธอคนนี้เป็นแค่ปลาเน่าตัวเดียว ในบ่อปลาใหญ่ของเรา

แต่ต้นเหตุของการโดนหลอกทั้งหมด คือความโลภของเราทุกคนเนี่ยละครับ อะไรก็ตามที่มันดีเกิดจริง มันไม่มีอยู่ในโลกหรอกครับ

คุณคิดดูนะครับ นาฬิกา Rolex ในตลาดขายกันอยู่ 3 แสน ของหายากจะตาย มันไม่มีใครใจดีมาขายให้ราคาถูกกว่าตลาด หรือมีของขายให้ไม่อัน

เอาเงินไปฝากแบงดอกเบี้ย 1 % ซื้อหุ้นที่ดีที่สุดในตลาดผลตอบแทนไม่แน่นอนยังแค่ 4-5% แล้ว Wallet Crypto Zipmex+ ดอกเบี้ย 14%.... มันจะเป็นไปได้ยังไงครับบบบ

(มันทำได้ก็เพราะว่า เอาเงินไปฝากไว้กับ Celsius ที่ให้ดอกเบี้ย 18% แล้วกินส่วนต่าง แล้วพอ Celsius ล้ม ก็โทษไปที่ Celsius)

“If something is too good to be true, it probably is.”

เป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่ผมชอบ และเชื่อมาตลอดชีวิต อะไรก็ตามที่ฟังดูแล้วมันดีเกินจริงเกินไป มันไม่มีจริงในโลกนี้ครับ

คนเราโลภได้ อยากพัฒนาตัวเอง ใช่เป็นแรงผลักดันได้ แต่ต้องดูดีๆครับ อะไรที่มันดีเกินจริง มันมีมีอยู่จริงในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงิน กำไร และ ความโลภของเราทุกคน

จุดจบของไลฟ์สไตล์แสนสบายด้วยเงินอุปถัมภ์ [The End of Millennial Lifestyle Subsidy]ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมานะครับ ถ้าผมอยาก...
09/07/2022

จุดจบของไลฟ์สไตล์แสนสบายด้วยเงินอุปถัมภ์ [The End of Millennial Lifestyle Subsidy]

ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมานะครับ ถ้าผมอยากนั่งรถไปสยาม ผมก็เอาโทรศัพท์ ออกมาเรียก Grab ราคา 120 บาทไม่เกินนี้ ผมได้ไปสยามละ

แต่วันนี้ถ้าผมลองเรียก Grab ไปสยาม ราคามันไม่ใช่ 120 ละ แต่มันขึ้นไปถึง 220 บาท และ ไม่ใช่แค่ Grab นะครับ มีอีกหลายบริษัทที่

ถ้าคุณตื่นเช้ามาเรียก Lineman มาส่งอาหารเช้า
ตอนสายๆ นั่ง Grab ไปทำงานที่ออฟฟิศ WeWork
ตอนเที่ยงคุณเรียก Foodpanda มาส่งอาหารกลางวันให้คุณ
ตอนบ่ายๆ เบื่อๆเข้าไปซื้อของใน Shopee
แล้วก็ซื้อคริปโตต่อใน Bitkub
เลิกงานเสร็จไปเล่น Jetts Fitness
ตกเย็นนั่ง Gojek กลับบ้าน
มานอนดู Netfilx จนหลับไป

ชีวิตแสนสะดวกสบาย ราคาถูกของคุณ วันนี้ได้มาถึงจุดจบแล้ว เพราะเงินที่อุปถัมภ์ไลฟ์สไตล์ของเราทุกคน มันได้หมดลงแล้ว

คุณแค่สงสัยไหมครับ ว่าทุกครั้งที่คุณสั่งอาหารผ่าน Grabfood ด้วยค่าส่ง 5 บาท ทำไมพี่มอเตอร์ไซค์ใจดีอุตส่าห์ ขับรถตากฝนมาส่งอาหารให้กับคุณ เพื่อเงินแค่ 3 บาทหลังหักค่าน้ำมันแล้ว

ในความเป็นจริง แล้วมันมีผู้อยู่เบื้องหลังที่คอยอุปการะไลฟ์สไตล์แสนสบายของคุณนี้อยู่ ซึ่งตอนนี้มันจบลงแล้ว

ผมขอใช้บริษัท Grab เป็นตัวอย่างในการอธิบายละกันนะครับ มันมีบริษัทอีกมากมายที่มีพฤติกรรมแบบนี้ แต่ผมคุ้นเคยกับ Grab อยู่สิงคโปร์ตามข่าวทุกวัน เป็นบริษัทที่ใหญ่ ทุกคนรู้จัก เป็น Startup เจ้าแรกๆที่โตจนใหญ่มาก และ เป็นบริษัทที่ผมไม่ชอบ และไม่เห็นด้วยกับวิธีการทำธุรกิจของเขาที่สุด

Grab เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้วให้บริการเป็นแอปเรียกแท็กซี่ในมาเลเซียและสิงคโปร์ ไม่มีอะไรพิเศษเลย ตัวแอป โมเดลธุรกิจก็ลอกมาจาก Uber แต่สิ่งที่ Grab มีมากกว่าเจ้าอื่นที่ทำให้เขาโตเร็วมากคือ เงิน... และมันต้องเป็นเงินจำนวนมากมหาศาล ที่จากทั้งเจ้าของ Anthony Tan (หนึ่งในครอบครัวที่รวยที่สุดในมาเลเซีย) และ ผู้ร่วมลงทุนอย่างบริษัท SoftBank ของนาย Masayoshi Son (คนนี้สำคัญครับ เป็นนายทุนหลักและผู้เริ่มแนวคิด Blitzscaling) และอีกมากมายหลายนักลงทุน

ปรัชญาการทำธุรกิจของ Grab และบริษัทเหล่านี้คือ Growth หรือการโตของผู้ใช้ รายได้สำคัญกว่า Profit หรือกำไร เราจะขาดทุนเท่าไรก็ได้ไม่สำคัญขอแค่เราโตเร็วแรง มี Market share เยอะๆ ทุกอย่างจะโอเคเอง ซึ่งปรัชญานี้เรียกว่า Blitzscaling (มาจากคำว่า Blitzekrieg ที่แปลว่า การโจมตีคู่ต่อสู้ที่รวดเร็วของกองทัพนาซี และ คำว่า scaling ที่แปลว่า การโตของธุรกิจ)

คุณคิดดูนะครับถ้าผมอยากเปิดร้านขายข้าวมันไก่ในตลาด แล้วอยากเป็นร้านเบอร์ 1 ของตลาดภายใน 30 วัน ไม่เห็นจะยากเลย ผมก็ขายข้าวมันไก่กล่องละ 10 บาทตัดราคามันทั้งตลาด ซื้อเยอะแถมส่วนลดไปอีก

และที่ Grab ทำแบบนี้ได้ก็เพราะว่า เงินจากนักลงทุนในบริษัทมันหนามากๆๆ ในช่วงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกลางสหรัฐ อยู่ 0.5-1% เรียกได้ว่า ต้นทุนการกู้เงินถูกมากๆ นี่เป็นเหตุผลในกองทุนใหญ่ระดับโลก อย่าง Softbank จะเอาเงินไปฝากแบงค์หรือซื้อ Bond ทำไม เอาเงินมาเท่ให้กับ Start Up เหล่านี้ดีว่า เพื่อว่าสัก 1 ใน 100 บริษัทที่ลงทุนไปก็กลายเป็นมหาบริษัทใหญ่ในอนาคต Softbank นี่ละครับตัวดี ชอบลงทุนแบบมหาศาลในธุรกิจที่มีโอกาสสูงที่จะไม่สามารถมีกำไรได้ในอนาคต

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ผมแค่อยากจะบอกว่า ผมไม่ชอบและไม่เห็นด้วยกับการทำธุรกิจแบบนี้มากๆ ครับ มันเป็นการทำธุรกิจที่ไม่ Sustainable ไร้ความยังยืน ทำให้สังคมเสียความสมดุล

บริษัทอย่าง Grab ทำให้ ผู้เล่นในอดีตอย่างแท็กซี่ตายลงไป ที่สิงคโปร์ ปัจจุบันเหลือคนขับ Taxi น้อยมาก เพราะโดน Grab ดึงไปหมด และเมื่อถึงตอนนี้ Grab ไม่เหลือคู่แข่งแล้ว ก็ขึ้นราคาฟันผู้บริโภค ให้ยับไปเลย และรัฐบาลก็ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ทำให้ความสมดุลในระบบมันเสียไป

ในปีที่ผ่านมา บริษัท 9 เท่าของรายได้ คือขายของได้ 10 บาท แต่ ต้นทุน 100 บาท หุ้นบริษัทตกไปแล้ว 80% และไม่ได้มีแค่บริษัทเดี่ยวนะครับที่เจอปัญหาแบบนี้ Shopee Lazada Wework Foodpanda Netfilx เจอกันหมด

Netflix ก็เป็นอีกบริษัทครับที่คิดราคาถูกเกินจริงๆ แชร์ password กันได้ทั้งโรงเรียน ทำให้อุสหกรรมหนัง ภาพยนต์ตายไป โรงหนังตาย แล้ว เดี๋ยวก็จะห้ามแชร์ password ขึ้นราคา

เห็นไหมละครับว่าอะไรที่ถูกเกินไปมันไม่ได้ดี ทำสมดุจเสียให้ไปหมด ชีวิตราคาถูกที่แสนสะดวกสบายของคุณ จริงๆแล้วที่นักลงทุนผู้หิวโหยกำไรในอนาคตคอยอุปถัมภ์อยู่ หวังว่าคุณจะเสพติดความสะดวกสบายใช้บริการของเขาในวันที่ส่วนลด ราคาแสนถูกนั้นหายไป

และในปีนี้นะครับเงินอุปถัมภ์จากนักลงทุกเหล่านั้น หมดลงแล้วดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกลางสหรัฐ จะขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 3.5-4.0% จะไม่มีนักลงทุนคนไหนมาลงทุนด้วยความบ้าคลั่งเหมือนในอดีต บริษัทอย่าง Grab ก็จะต้องปรับสภาพให้เริ่มมีกำไร ทุกบริษัทที่ลดแลกแจกแถมมาเป็นเวลาหลายปีจนเหมือนเป็นเรื่องปรกติ จะมาทำแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว

และคนที่จะลำบากที่สุดก็คือผู้บริโภคอย่างผมและคุณเนี่ยละครับ



บทความบทที่ผมได้แรงบันดาลในมาจากลิงค์ด้านลางนะครับ

https://www.theatlantic.com/newsletters/archive/2022/06/uber-ride-share-prices-high-inflation/661250/?fbclid=IwAR3iHBu3mh5xRQoYn1ChOQDQRmO_SG-uRAWqUpYA7tba8Ll4TCBYkxISp-s

Galeries Lafayette ทำไมที่นี่คือห้างต้นแบบเบอร์ 1 ของโลกคุณรู้ไหมครับว่าสถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 2 ของกรุงปารีส ที่เป็นร...
03/07/2022

Galeries Lafayette ทำไมที่นี่คือห้างต้นแบบเบอร์ 1 ของโลก

คุณรู้ไหมครับว่าสถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 2 ของกรุงปารีส ที่เป็นรองเพียงแค่ หอไอเฟลคือที่ไหน...หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง แต่มันคือ ห้างระดับโลกอย่าง Galeries Lafayette

วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าทำไมห้างแห่งนี้จึงเป็นห้างยืนหนึ่งตลอดกาลในปารีส และเป็นต้นฉบับของห้างทั้งโลกอีกด้วย

จุดเริ่มต้นของ Galeries Lafayette เริ่มต้นที่ปี 1893 เมื่อลูกพี่ลูกน้องสองคนที่ชื่อว่า Théophile Bader และ Alphonse Kahn เปิดร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆที่หหัวมุมถนน La Fayette ขนาด 70 ตารางเมตร

ด้วยความที่เป็นร้านขายเสื้อผ้าที่มีขนาดเล็ก สองลูกพี่ลูกน้องจึงออกแบบร้านให้เป็นทางเดิน ให้ลูกค้าเดินวนไปเรื่อยๆ จากทางเข้าไปยันทางออก ให้ลูกค้าสามารถ Flow ไปเรื่อย ตามทางเดินระหว่างที่กำลังเลือกดูสิ้นค้า เหมือนกับ Gallery พิพิธภัณฑ์ในกรุงปารีส

นี่จึงเป็นที่มาของชื่อของห้างแห่งนี้ละครับ Galeries Lafayette

ฟังดูมันอาจจะไปไม่ได้พิเศษอะไรในปัจจุบันนี้ ห้างเซนทรัลบ้านเราก็ออกแบบแบบนี้ แต่นี่มันเมื่อ 100 ปีที่แล้วนะครับ มันเป็น Innovation เปลี่ยนโลกในยุคนั้นเลยละ

ความสำเร็จของห้าง Galeries Lafayette ที่ตามมาหลังจากนั้น สามารถสรุปได้เป็น 3 ข้อหลักๆ

1. ห้างต้องสร้างให้เป็น Landmark แล้วคนจะมาเอง

หลังจากร้านเสื้อผ้าของสองพี่น้องประสบความสำเร็จดี เค้าทั้งสองจึงตัดสินใจขยายร้าน ไปซื้อตึกที่ถนน Haussmann ที่เป็นที่ตั้งของห้าง Galeries Lafayette จนถึงปัจจุบัน

หลังจากซื้อตึกใหม่นี้มา Théophile Bader มีไอเดียว่า ห้างใหม่ของเข้าจะต้องเป็น Luxury Bazaar หรือตลาดแห่งความหรูหรา ทุกอย่างจะต้องเต็มไปด้วยความ High End

และสิ่งแรกที่เขาทำก็คือ รีโนเวทห้างใหม่ของเค้า ให้หรูหราที่สุด เน้นสีทอง และทำหลังคาให้โปร่ง มีแสงแดดทะลุ เข้ามาได้ โดย Masterpiece ของห้างนี้คือ โดมแก้วสูง 43 เมตรอยู่บนหลังคาของห้าง ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Paris Opera House ซึ่งเป็นจุดดึงดูดผู้คนเข้ามาในห้าง (โดมนี้อยู่ในภาพของโพสตนี้ละครับ)

หลังจากใช้เวลา รีโนเวทอยู่นานถึง 5 ปี แผนของ Théophile Bader ก็ประสบความสำเร็จ ในปี 1912 ห้าง Galeries Lafayette ได้รับความนิยมอย่างมากของคนร่ำรวยในทวีปยุโรป ต้องมาช็อปที่นี้กัน

คิดดูนะครับว่านี้มันตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ปารีส แนวคิดเขาไปไกลขนาดนั้นแล้ว เป็นต้นแบบของประสบการณ์การช้อปปิ้งของโลกจริง

ลองสังเกตในบ้านเรานะครับ ห้างระดับท็อปของบ้านเราก็ใช้ความคิดแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็น IconSiam Siam Paragon หรือ EmQuartier ห้างเหล่านี้ ก็ต้องสร้างห้างในเป็น Landmark ดึงดูนักช็อป

เพราะว่าการช้อปปิ้งคือ การขาย Experience ไม่ใช่ขายสินค้า

ถ้าลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดี ของจะขายได้เสมอ

2. ดึงดูดผู้หญิง แล้วความสำเร็จจะตามมา

Galeries Lafayette ชัดเจนมาตลอดครับว่า กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือ ผู้หญิง ถ้าผู้หญิงเข้ามา แล้วยอดขายของทุกอยู่จะตามมาเอง นี่คือเหตุผลว่าทำไม เวลาเราเดินเข้าห้างทุกห้างในโลก ชั้นล่างสุดจะขายเครื่องสำอางเสมอ เพราะเป็นอะไรที่ เล็ก ขายง่าย ผู้หญิงทุกคนในโลกต้องใช้ ต่อจากนั้น ชั้นสอง จะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า ของผู้หญิง ส่วนของคุณผู้ชายนี่ตามมาที่หลัง นี่แทบจะเป็แบบแผนการจัดการห้างทั้งโลกเลยก็ว่าได้ครับ

และด้วยหลักการแบบนี้ละครับ Galeries Lafayette ก็ค่อยๆทำการขยายไปเรื่อยๆ ค่อยๆซื้อตึกเพิ่ม เอาสินค้าที่ดีที่สุดในกรุงปารีสมารวมกันไว้ที่นี้ ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเอามาให้ได้มากที่สุด

3. การอยู่เป็น เป็นสิ่งสำคัญ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กรุงปารีสถูกนาซียึดเมืองเอาไว้เป็นเวลาหลายปี ในช่วงนั้นเหล่าคนที่มีอำนาจที่การเมือง และธุรกิจในปารีส มีแค่สองทางเลือกเท่านั้น ไม่คุณเข้าร่วมกับพวกนาซี ก็ต่อสู้

เพราะฉะนั้นแล้ว เจ้าของของ Galeries Lafayette ต้องทำทุกทางครับเพื่อให้ ห้างของพวกเขา เดินต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการปลดพนักงานชาวยิว ให้เงินกับพวกนาซี และอื่นๆอีกมากมาย มีบุคคลในยุคนั้นหลายๆคนที่เจอเรื่องแบบนี้ อย่างเช่น Coco Chanel เพราะฉะนั้นแล้ว การอยู่เป็นเอาตัวรอดให้ได้สถานการณ์ที่สุดลำบากเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ะธุรกิจของคุณอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้



ที่มา: https://haussmann.galerieslafayette.com/en/culture-and-heritage/

ความจุใน iPhone ที่เพิ่มขึ้นทุกปี เพิ่มได้ยังไง เมื่อไรเราจะถึงขีดจำกัด วันนี้ลงทุนแมน เอ้ย.. ปั้น Walking Backpack จะมา...
25/06/2022

ความจุใน iPhone ที่เพิ่มขึ้นทุกปี เพิ่มได้ยังไง เมื่อไรเราจะถึงขีดจำกัด

วันนี้ลงทุนแมน เอ้ย.. ปั้น Walking Backpack จะมาเล่าให้ฟังครับ

ก่อนอื่นเลยทำไมผมมาเล่าเรื่องนี้ ไปอ่านในนี้ได้ ผมเป็นวงในของวงการนี้ https://tinyurl.com/2p8epzx6

เคยได้ยินเรื่องกฎของมัวร์ (Moore's law) ไหมครับ จริงๆมันไม่ใช่กกฎ แต่มันคือคำคาดการของคุณ กอร์ดอน มัวร์ ผู้ก่อตั้งบริษัท​ Intel

ลุงแกคาดการว่า ปริมาณของความจุของ คอมพิวเตอร์ชิบ จะเพิ่ม 2 เท่า ทุกๆ 18 - 24 เดือน โดยกฎนี้ได้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นจริงอย่างต่อเนื่องมามากกว่า 20 ปีแล้วนะครับ และมันคือเหตุผลว่าทำไมโทรศัพท์ของคุณมาแรงได้ขนาดนี้เล่นเกมส์ไม่มีติดขัด

ยกตัวอย่างเช่น ปี 2015 ถึง 2021 ประมาณ 6 ปี ความจุสูงสุดของ iPhone คุณก็เพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า เช่นกัน

คำถามแรกก็คือ วิศวกรเขาทำยังไง ทำไมความจุของ iPhone คุณก้าวกระโดดทุก 2 ปี

คำตอบก็คือเทคโนโลยีในการผลิต และความคิดสร้างสรรค์ในการดีไซน์

จินตนาการง่ายๆนะครับว่า หน่วยความจำ ก็เหมือนบ้านคน ตัวข้อมูลก็เหมือนกับคนที่อยู่ในบ้าน บ้านทุกหลัง มีคนอยู่ได้แค่ 1 คน

ในอดีตก่อนปี 2010 เราทุกคนสร้างหน่วยความจุเป็นแบบ บ้านเดียว หรือที่เค้าเรียกกันว่า 2D NAND ก็คือ พื้นที่บนชิปมีมากเท่าไร อัดจำนวนหน่วยความจำ node ให้เข้าไปได้มากที่สุด

ก็เหมือนกับบนพื้นที่ใหญ่ 1 ผืนน เจ้าของโครงการสร้างบ้านเดี่ยวอัดลงไปให้ได้เยอะที่สุด เท่าที่จะอัดได้ ให้คนอยู่ได้จำนวนมากที่สุด

โดยปัญหาของวิธีนี้คือ วิธีการผลิตมันยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณต้องผลิตตัว cell ของ memory ให้เล็กลงจากระดับ micrometer ไปถึง nanometer จนตอนนี้เราก็อยู่ในระดับ 10 นาโนเมตรกันแล้ว ยิ่งเล็ก ยิ่งแพง และมีความจำกัดทางด้านฟิสิกส์ของเรื่อง quantum tunneling

คือ electron จะเริ่มกระโดดข้ามกระแพงบ้านถ้ากำแพงบางไป หรือทุกอย่างแออัดเกินไป

ตอนนี้จุดสูงสุดของการผลิตอยู่ที่ 5 nm โดยเป็นเทคโนโลยีของ บริษัทดัชต์ ASML โดยผลิตอยู่ที่​ TSMC ในไตหวันครับ พวกชิป M1 ของแอปเปิ้ลก็ผลิตที่นี่

นั่นแหละครับช่วงปี 2010 ก็มีคนคิดค้นได้ว่าแทนที่เราจะสร้างบ้านเดียว แล้วอัดจำนวนบ้านให้ได้มากที่สุด ทำไมเราไม่สร้างคอนโดสูงๆให้ ประจุไฟฟ้าอยู่ เหมือนกับมหานครกทม. ที่อยู่คอนโดกันทั้งกรุงเทพละครับ

และนั่นละครับก็เป็นที่มาของเทคโนโลยีที่ทำให้หน่วยความจำของเราก้าวไปต่อได้ที่ชื่อว่า 3D NAND หรือ ซัมซุงเรียกว่า V-NAND (Vertical)

เจ้าแรกที่บุกเบิก 3D NAND คือซัมซุงครับ โดยเขาสร้างหน่วยความจุอยู่บนความสูง 32 ชั้นได้เป็นเจ้าแรก พิสูจน์ว่า มันทำได้จริงในปี 2012 โดยความได้เปรียบของ 3D NAND มีหลายข้อ อย่างแรกก็คือ คุณจะสร้างมันสูงขึ้นไปกี่ชั้นก็ได้ ไม่ต้องมากังวลเรื่อง ความแอดอัดของพื้นที่แล้ว ขนาดตามที่อยากได้เลย เพราะฉะนั้นการไม่ต้องใช้ เทคโนโลยีการผลิตที่เล็กกว่า 15 nm ทำให้ต้นทุนถูกลง ขยายได้ง่ายขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม เหมือนกับการสร้างคอนโดครับ ยิ่งสูงก็ยิ่งสร้างยาก ทำให้ผลผลิตออกมาดียาก Yield ของการผลิดต่ำ โดยเทคโนโลยี ที่สำคัญกับการสร้าง 3D NAND คือ Plasma Etching การใช้ Plasma เจาะลงไปใน หน่วยความจุถึง 32 ชั้น ที่ทำให้เสถียรยากมาก

เทคโนโลยีเหล่านี้มาจากบริษัทอย่างเช่น LAM Research และ Applied Material เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ Semiconductor ที่หลายคนไม่น่าเคยได้ยินชื่อ แต่พวกเขารายได้ดีมาก

ทุกวันนี้นะครับ 3D NAND ของเรามีความสูงถึง 176 ชั้น เพิ่มมาจากตอนแรก 5 เท่า ชิปหนึ่งอันมีความจุได้ 1 TB

อีก วิธีที่เราทำให้memory ของเรามีความจุเยอะขึ้นคือคอนโดห้องหนึ่ง แทนที่จะมีคนอยู่คนเดียว เราก็เอาคนอัดเข้าไป 2 คนสิ 3 ก็ยังไว้ 4 คนก็ยังได้

นี่คือที่มาของ QLC (Qual Layer Cell) อัดความจุเข้าไป 4 bit ต่อ Cell เพื่อเพิ่มความจุให้มากขึ้น 4 เท่า

นี่ละครับ เหตุผลว่าทำไม่ ความจุใน iPhone ของคุณจะยังโตต่อไป ให้ iPhone ของคุณถ่ายรูปไม่มีวันเต็ม (ถ้าคุณไม่ลืมลบ และแม่ไม่ส่งโทรศัพท์ไปอเมริกานะ)

รีวิวอาชีพจริงของผม: นักสร้าง Memoriesหลายคนอาจจะยังไม่ทราบ จริงๆแล้วผมไม่ได้มีอาชีพเป็นนักเดินทางแบบ Full time (เคยคิดจ...
23/06/2022

รีวิวอาชีพจริงของผม: นักสร้าง Memories

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ จริงๆแล้วผมไม่ได้มีอาชีพเป็นนักเดินทางแบบ Full time (เคยคิดจะลองทำดูแต่กลัวแฟนทิ้ง 555)

เพราะฉะนั้นแล้ววันนี้จะมาเล่าให้ฟังแบบละเอียดว่าจริงๆแล้ว อาชีพของผมคือ "นักสร้าง Memories"

นี้เรื่องจริงนะ แท็กไลน์ของบริษัทผมคือ We Make Memories

ฟังดูโคตรเท่อะ อาชีพสร้างความทรงจำที่ดี เอามาเก็บเอาไว้ แต่ถึงจะแปลให้ถูกแล้วคำว่า Memories ที่ผมหมายถึงคือ "หน่วยความจำ" พวก Memory SSD และ Dram ที่อยู่ในคอมของทุกคนเนี่ยละครับ คืองานของผม

งานของผมอยู่ที่ไหนหรอครับ...ทุกครั้งที่คุณก้มลงไปดู Apple Watch ที่ข้อมือของคุณ ในนั้นนะครับ มันมี Memory NAND ขนาด 32 GBs อยู่และผม ปั้น The Walking Backpack มีส่วนเล็กๆ ของในชิ้นส่วนชิ้นนี้ใน Apple Watch ทุกเครื่องในโลกเลยละครับ....ฟังดูยิ่งใหญ่มาก แต่มันคือเรื่องจริง

บริษัทที่ผมทำงานอยู่ชื่อว่า Micron Technology เป็นผู้ออกแบบและผลิต Memory อันดับ 3 ของโลก เป็นพี่เกาหลี Samsung and SK Hynix เป็นบริษัทที่มาจากอเมริกา โดยมีพนักงาน 40,000 คนทั่วโลก และมีคนไทยทั้งบริษัท 3 คน (เท่าที่ผมรู้จักนะ) 555 ผมนี้โดดเดี่ยวมาก คนไทยแทบไม่รู้จักธุรกิจนี้

อุตสาหกรรมนี้เรียกว่า Semiconductor เป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากๆในโลก แต่ไม่มีในไทยเพราะแรงงานเรา และเทคโนโลยีไม่ถึง โดนเขาว่ากันว่า มันจะมาตี Hard Disk ในแตกมา 10 ปีแล้ว แต่ยังไม่ตายสักที เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญมาก รถ คอม เครื่องบิน ทุกอย่างในโลกต้องใช้ แต่กระจุกอยู่ใน 6 ประเทศรอบโลกทั่งนั้น
1. อเมริกา - เก่งเรื่องออกแบบและเทคโนโลยี Intel AMD และ Nvidia
2. ไต้หวัน - ผมผลิตเยอะสุดในโลก ไม่ได้ใครสู้ได้ ผมคนผมขยันและถูก TSMC
3. เกาหลี - ผมก็เก่งและ ผมขยันมากกก Samsung
4. ญี่ปุ่น -- ผมเคยเก่ง แต่ช่วงหลังๆด็อบไปเล็กน้อย Sony Toshiba
5. สิงคโปร์ - ผมเล็กๆ ผลิตไม่เยอะ แต่เงินจากรัฐบาลผมแน่มากๆ หนุนหลังสบายๆ Micron Global Foundry
6. ยุโรป - อันนี้จะกระจายๆกันไป เน้นเรื่อง Technology

โดยคุณสังเกตุเห็นไม่ครับว่า เสือเศรษฐกิจทั้ง 4 ตัว ที่ประเทศไทยเคยจะขอเข้าไปเป็นเสือน้อย ตัวที่ 5 เขาพลักดันกันจนไปเป็นผู้ผลิตระดับโลกหมดแล้ว ส่วนประเทศไทยและมาเลเซีย พยายามที่จะกระโดดข้ามไป แต่ไม่สำเร็จ และคงจะไม่มีทางเกิดขึ้ยอีกแล้ว เพราะต้นทุนที่มหาศาล และ Skill ของแรงงานที่ อยู่ที่ประเทศเหล่านี้ จีน พยายามสร้างอุตสาหกรรมนี้มานานละนะแต่ไม่สำเร็จ โดดพี่อเมริกาบล็อกเอาไว้ ไม่ขายของให้

และอันนี้น่าสนในใจนะว่าทำไมทั้งโลกต้องมาผลิตในเอเชีย ส่วนเทคโนโลยีและออกแบบอยู่ในยุโรป
มันเป็นเรื่องของความถนัดของเชื้อชาติเลยละ คนอเมริกานี้ มันขี้เกียจครับ มันไม่มาเฝ้าการผลิดหรอกครับ คนอเมริกันเขาเก่งเรื่องการวิจัย ความคิดสร้างาสรรค์ แล้วก็ ซอฟต์แวร์ พวกงานวิจัยมันก็จะอยู่ในประเทศเหล่านี้

ส่วนคนเอเชียอย่างผมอะหรอครับ เราสายถึกครับ ขยันมาก ทำงานทั้งวันทั้งคืน บริษัทผมไม่มีนะครับ หลังเลิกงานไปดื่มกัน คนที่บริษัทขยันมาก และที่สำคัญเราทำงานตามคำสั้ง ตามขั้นตอน SOP ไม่มีการลัดขั้นตอน อันนี้สำคัญมาก มันอยู่ในคาแร็กเตอร์ของเราครับ เพราะเหมาะมากที่จะจ้างเรามา ดูการผลิตทั้งวันทั้งคืน แต่ค่าแรงเราไม่ได้ถูกนะ เราเป็นแรงงานคุณภาพ

และถามว่าหน้าที่ผมคืออะไร ผมเริ่มต้นเป็น Process Engineer ก็คือในการสร้าง Memory Chip ขึ้นมาเนี้ย มันมีมากกว่า 2000 ครั้งตอนการผลิต ผมเป็นผู้ดูแล้ว สัก 3 ขั้นตอน โดยมีหน้าที่ที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพดีขึ้น ต้นทุนถูกแล้ว และ ผลผลิต Yield เยอะขึ้น ทำได้อยู่ 5 ปีตอนนี้ผมก็ย้ายมาทำงานเกี่ยวกับ ด้าน Data Science ทำยังไงให้ใช่ data ที่เรามีให้มีประโยชน์มากที่สุด

นี้ละครับอาชีพนักสร้าง "หน่วยความจำ" ที่น้อยคนจะรุ้จัก ดูๆไปแล้วนะครับ มันไม่มีอะไรเหมือนกับการเป็นนักเดินทาง นักเขียน เลย แต่จริงๆแล้ว ผมกลับพบว่ามันมีอะไรหลายอย่างคล้ายกัน โดยเฉพาะถ้าเรามองว่า เราทำงานของเราไปเพื่ออะไร

นักเดินทาง ออกเดินทางก็เพื่อ สร้างครามทรงจำที่ดี ที่จะจดจำไปจนวันตาย
ส่วนในบทบาทของนักสร้าง "หน่วยความจำ" เราก็ทำมันไปเพื่อให้คนทั้งโลกมีหน่วยความจำ เพื่อเก็บ ภาพความทรงจำนั้นไว้ตลอดไป

Address


Alerts

Be the first to know and let us send you an email when The Walking Backpack posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to The Walking Backpack:

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Travel Agency?

Share