22/05/2024
วันวิสาขบูชาสำคัญอย่างไร
เทศน์เมื่อวันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันวิสาขบูชา
สำนักปู่สวรรค์ได้จัดให้มีพิธีการแผ่รัศมีลงพลังจิตดินอันศักดิ์สิทธิ์ ๗ ประเทศ เพื่อบรรจุลงในพระเศียรองค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย ในการแก้อาถรรพณ์คลายความร้อนที่จะอุบัติในแหลมสวรรณภูมิให้บรรเทาเบาบางลงโดยการลงพลังจิตของดวงพระวิญญาณของท่านผู้สำเร็จทั้งหลาย ในวันนั้นดวงพระวิญญาณของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้เสด็จมาเทศน์โปรดบรรดาสานุศิษย์ด้วยเรื่องวันวิสาขบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เหตุที่วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาในวันเดียวกัน
สมเด็จ : เจริญพร วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันแห่งความอัศจรรย์ของศาสนาพุทธ ที่ได้อุบัติขึ้น ณ โลกมนุษย์ บัดนี้ เวลาล่วงเลยไปเป็นอดีตภาคสองพันกว่าพรรษาแล้ว วันนี้สำนักปูสวรรค์อันเป็นสำนักแห่งโลกวิญญาณที่มาตั้งอยู่ในโลกมนุษย์ ได้จัดพิธีปลุกเสกลงพลังจิตของเหล่าผู้สำเร็จทั้งหลาย ที่มาร่วมลงพลังจิตในรูปวิญญาณก็ดี ที่มายืมร่างมนุษย์เพื่อลงพลังจิตให้ขลังยิ่งขึ้นก็ดี รวมทั้งหมดมี ๓๘ ล้านโกฏิ พร้อมกันในที่นี้มีทั้งเหล่าพระปัจเจกโพธิเจ้า เหล่าพระโพธิสัตว์ เหล่าพระพรหมสุทธาวาส เหล่าพระพรหมชั้นสูง ทั้งเหล่าศากยราช เหล่าพรหมเหล่าเทพที่อยู่ในสมัยพุทธกาลก็ได้มาร่วมชุมนุมกันในที่นี้ รวมทั้งพวกรุกขเทวดาที่อยู่นอกเทวโลก ที่อยู่นอกพรหมโลก ได้มาร่วมอนุโมทนาในพิธีการที่จะคลายความร้อนแห่งแหลมสุวรรณภูมิคืนนี้ นับได้ว่าเป็นนิมิตดีแห่งอากาศ รับทราบว่า ความร้อนที่คุกรุ่นในแหลมสุวรรณภูมินั้นจะเย็นด้วยนิมิต เพราะฝนที่ตกปรอยมาตลอดไม่ขาดสาย จนกระทั่งถึง ณ บัดนี้ เมื่อคืนนี้หลวงปู่ท่านได้มาติดต่อกับเหล่าเทวดาว่าให้ยุติการโปรยฝนในแดนสยามได้หรือไม่ ในสภาพการณ์อันนี้ เหล่าเทพประจำทิศแถลงว่า การที่จะไม่โปรยฝนนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะมีบัญชาจากองค์อมรินทร์จอมเทพให้เหล่าเทพทั้งหลายทำการเทโปรยฝนอนุโมทนาในการสร้างรวมดินแหลมสุวรรณภูมิเป็นผืนแผ่นดินเดียวกันในอนาคตกาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้เป็นสำนักปู่สวรรค์ ท่านทราบหรือไม่ว่าสานุศิษย์ของท่านผู้ที่ไม่มีรถมีมาก ผู้มีรถมีน้อย ถ้าฝนไม่ตกแห่กันมามากกว่าพิธีจะเสร็จย่อมเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน แล้วเขาจะกลับกันอย่างไรเล่า เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ฝนมาพอสมควร นี่คือการชี้แจงของเทพประจำทิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีการวันนี้ มีเหล่าเทวดาทั้งหลายที่ไม่สามารถเข้าสู่เทวโลก เหล่าพระพรหมทั้งหลายที่ไม่สามารถเข้าสู่พรหมดลกบอกว่า พวกเขาไม่มีโอกาสฟังธรรมที่ท่านโตแสดงอยู่ ณ สวรรค์ชั้นที่ ๔ บ่อยนัก เพราะฉะนั้นวันนี้ขออาราธนาเทศน์ให้เหล่าข้าน้อยได้ฟังธรรมของท่านด้วยเถิด ดังนั้นอาตมพาตก็จะอนุโลมในการเทศน์ครั้งนี้เพื่อโปรดเหล่าเทพพรหมทั้งหลายที่มาอยู่ในที่นี้ รวมทั้งเหล่ามนุษย์ที่มาร่วมพิธีนี้ด้วย คือว่าวันนี้อาตมพาตจะมาเทศน์ในเรื่อง วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญอย่างไร บัดนี้เป็นวันแห่งวิสาขบูชา เป็นวันอัศจรรย์ของศาสนาพุทธที่วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม มาร่วมอยู่ในวันเดียวกัน เพราะเหตุใดเล่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมจึงตั้งจิตอธิษฐานจิตเช่นนี้ เพราะว่าพระองค์มีเจโคปริยญาณหยั่งรู้กาลล่วงหน้าในพุทธกาลว่า ในอนาคตกาลข้างหน้านั้น ศาสนาพุทธของพระองค์จะเหลือแต่กระพี้และเปลือกแห่งพุทธะเท่านั้น เมื่อเหลือกระพี่และเปลือกแล้ว ถ้าพระองค์ไม่จัดการให้วันแห่งความสำคัญรวมกันเป็นวันเดียวแล้วไซร้ เหล่ามนุษย์ยุคต่อมาจะเอาวันพิธีการศาสนาเพื่อหากินเลี้ยงชีพ ก็คือเอาศาสนามาบังหน้า เพื่อเลี้ยงชีพประทังชีวิตอย่างซึ่งเป็นอยู่ในยุคปัจจุบัน ณ บัดนี้ อาตมภาพขอให้ท่านทั้งหลายจงหลับตาและวาดภาพวิปัสสนึก ก็คือจงนึกถึงขณะนี้วันนี้เวลานี้เมืองกุสินาราแห่งดินแดนสาละวันอันเป็นแห่งที่องค์สมณโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปรินิพพานสิ้นจากโลกมนุษย์ คือ ทิ้งขันธ์ไว้ในโลกมนุษย์ จิตวิญญาณพุ่งเข้าสู่เทวโลกชั้นดาวดิงส์ ท่านจงหลังตานึกมโนภาพดูซิว่า เหล่าสาวกที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ยังไม่สำเร็จก็ดี ได้เกิดโกลาหลด้วยการหลั่งน้ำตา เสียดายในการสิ้นขันธ์ขององค์สมณโคดม ซึ่งได้ทิ้งสังขารไว้ ณ เมือง แห่งนี้ อันก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมขนาดหนักในโลกมนุษย์แห่งสมมติวันนี้ แต่ขอให้ท่านทั้งหลายจงหันความสนใจมาดูในโลกวิญญาณบ้าง พรหมโลก เทวโลก ยมโลก ได้เตรียมการต้อนรับดวงพระวิญาณ ขององค์พระสมณโคดมที่เป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคที่ถูกส่งมายังโลกมนุษย์ได้ทำงานเผยแผ่สัจธรรมเป็นผลสำเร็จ ณ บัดนั้น โลกวิญญาณได้เกิดความยินดีปราโมทย์ต้อนรับดวงพระวิญญาณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับขึ้นสู่เบื้องบนสรวงสวรรค์ คราวนี้ อาตมภาพขอให้ท่านทั้งหลายจงระลึกย้อนไปถึงโลกอีกโลกหนึ่งคือ มารโลก บรรดาเหล่าพญามารทั้งหลาน ได้ตีฆ้องร้องป่าวด้วยความโสมนัสปรีดาว่า บัดนี้คนดีแห่งโลกมนุษย์ได้สิ้นแล้ว ศาสนาจะต้องถูกการปกปิดของเหล่าอลัชชีในยุคต่อมา วันเวลานี้ อาตมภาพได้ให้ท่านนึกถึงความโศกเศร้าพอสมควรแล้ว เพราะฉะนั้น อาตมาภาพจะเปลี่ยนแกใหม่อีกวาระหนึ่ง ก็คือขอให้ท่านทั้งหลายตั้งจิตวิปัสสนึก นึกไปสู่ ณ ดินแดนอีกแห่งหนึ่ง คือลุมพินีวัน ที่อยู่ติดระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ กับเมืองกะระนะ (เมืองเทวทะหะ) วันนี้ได้เกิดความอัศจรรย์ สิทธัตถะราชกุมารได้ประสูติ ณ ดินแดนลุมพินีสถานแห่งแคว้นกบิลพัสดุ์ และกะระนะ ในแผ่นดินแห่งชมพูทวีป เป็นวันแห่งโสมนัสยินดีอันใหญ่ยิ่งทั่วกรุงกบิลพัสดุ์ รวมทั้งเหล่าประชาได้เกิดความปีติโสมนัสว่า บัดนี้กรุงกบิลพัสดุ์ได้กำเนิดมีกษัตริย์ผู้ที่จะสืบเชื้อสายแห่งศากราชแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมภาพ จึงให้ท่านนึกถึงความตายแล้วค่อยนึกถึงความเกิด ก็คือนึกดีใจขึ้น ณ บัดเดี๋ยวนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายวาดภาพนึกจินตนาภาพในการชื่นชมถ้าเป็นหญิงก็วาดจินตนาภาพว่า บัดนี้มีบุตรน้อยๆ เกิดขึ้นในดินแดนแห่งปฐพีแหลมชมพุทวีป ถ้าเป็นชายก็ได้เกิดความปีติปราโมทย์แห่งความที่จะได้เป็นบิดาคนขึ้น ณ บัดนี้ ซึ่งเป็นความอัศจรรย์ใจในครั้งนั้น เมื่อท่านนึกถึงความใจดี และนึกถึงความเสียใจแล้ว อาตมภาพขอให้ท่านจงใช้หลังวิปัสสนึกนึกต่อไปถึงเมืองอีกเมืองหนึ่งเมืองกุรุสะกะประเทศ ซึ่งเป็นเมืองที่องค์สมณโคดมได้ตรัสรู้ ณ พื้นปฐพีแห่งใต้ร่มเงาต้นโพธิ์ เวลานี้ สัจจะแห่งธรรมอันแท้จริงได้อุบัติขึ้น ณ โลกมนุษย์ โดยมีผู้ที่จะนำออกเผยแพร่สั่งสอน เมื่อท่านนึกถึงความตายแล้ว มานึกถึงการเกิด อาตมภาพจึงขอให้ท่านนึกถึงความอนิจจังแห่งสรรพสิ่งของคำว่าสัจธรรม ณ บัดนี้ ในกาลครั้งนี้แหล่ ได้เกิดบรมศาสดาขึ้นในโลกมนุษย์ ณ วันนี้เวลานี้ ในการที่จะทำให้ผืนแผ่นดินแห่งคำว่าศาสนาพุทธ ได้เจริญงอกงามขึ้นแผ่เข้ามาจนถึงเมืองต่างๆ ในแหลมสุวรรณภูมิ และในสภาพการณ์นั้น อาตมภาพจะเทศน์ในเรื่องว่า เพราะเหตุใดจึงทำให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งโคดมได้เข้าสู่การเป็นนักบวช เนื่องจากเหตุว่าในยุคนั้น ชมพูทวีปได้เป็นกลียุคได้เป็นยุคแห่งไฟอเวจีจะเผาผลาญยุคเช่นนี้ ในสภาพการณ์นั้นโลกวิญญาณทั้งโลกพรหมโลก เทวโลก และยมโลกได้ประชุมพรอมกันตรวจดินแดนพุทธภูมิว่า มีพระโพธิ์สัตว์องค์ใดเล่าที่มีวามแข็งแกร่งแก่กล้าสะสมบารมี สมควรที่จะเป็นพระพุทธแห่งยุค ด้วยทิพยเนตร ทิพยอำนาจ ก็ได้พบว่า พระโพธิสัตว์สมณโคดม สมควรที่จะเสด็จลงมาโปรดสัตว์ในยุคนั้น จึงได้อาราธนาเทพบุตรแห่งชั้นดุสิตนั้น ลงจุติในพระครรภ์มารดาคือพระนางสิริมายา ท่านทั้งหลายลองหลับตานึกดูถึงความเลื่อมล้ำต่ำสูงของมนุษย์ในดินแดนชมพูทวีป ซึ่งเกิดการแบ่งแยกเป็นวรรณะสี่ ในเมืองกบิลพัสดุ์ก็ดี พาราณสีก็มี มคธก็ดี สาวัตถีก็ดี กุสินาราก็ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งน่าปลงสังเวช เมื่อมนุษย์ทุกคนต่างคนต่างเกิดมา ต่างคนต่างมาใช้กรรม เหตุไฉนจึงต้องมีการแบ่งชั้นวรรณะจนเกินวิสัยการเป็นคนเล่า การที่มนุษย์จะฆ่ามนุษย์ในชมพูทวีปกำลังจะอุบัติขึ้นในยุคนั้น จึงเป็นการสมควรที่ทางโลกวิญญาณ ให้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ในผืนแผ่นดินพื้นปฐวีแห่งชมพูทวีปในครั้งนั้นในวันนี้ องค์พระสมณโคดมนั้น เป็นนักปราชญ์แห่งการสะสมมาแต่ละชาติ เพื่อโปรดสัตว์จรรโลงคุณความดีและศาสนาโดยแท้จริง เมื่อพระองค์ถูกส่งมาโปรดสัตว์แล้วสิ่งแรกที่พระองค์จะต้องทำคือ การทำลายระบบวรรณะทั้งสี่ เพื่อให้สัตวโลกมีเสรีภาพการครองตน ครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ ได้หนีออกจากพระราชวังเพื่อครองตนเป็นนักบวช และในกาลต่อมาก็ได้โปรดสัตว์เหล่าพระประยูรญาติ เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย เหล่าประชาชน เหล่าเดียรถีย์ เหล่าพราหมณ์ เหล่าศูทร เหล่าจัณฑาล เหล่ากษัตริย์ ได้รวมกันเป็นวงศ์ศากยมุนีขึ้นในแผ่นดิน และต่อมาก็ได้ทำการแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรมะไปทั่วทุกทวีป และได้เข้าสู่แค้วนต่างๆ ของพื้นปฐพีแห่งโลกมนุษย์ หลังจากบากบั้นต่อสู้กับเข้าลัทธิเหล่ามารทั้งหลายจนถึงวาระแห่งการปรินิพพานในวันนี้ ซึ่งท่านลองหลับตาดูในขณะที่ว่าเหล่าพระสงฆ์ทั้งหลายได้ทำการปลงสังเวชขึ้นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงหนอ ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา แม้แต่พระบรมศาสดาก็ยังต้องดับขันธ์ปรินิพพานทิ้งขันธ์ไว้ในโลกมนุษย์ เหลือแต่จิตวิญญาณกลับสู่โลกวิญญาณ ซึ่งเป็นการเทศน์นอกพระไตรปิฎก เนื่องจากมนุษย์ยุคต่อมาไม่เข้าใจก็แปลคำว่า “นิพพาน” นี้ผิดไป อาตมาเคยได้เทศน์แล้วว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง คำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง แปว่า นิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง ก็คือท่านมี ความนิ่ง มีความหยุด มีความละ มีความวาง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ก็คือจากการมีกิเลสครอบงำในจิตวิญญาณแห่งสังขารของท่าน เพราะอะไรเล่าอาตมาภาพจึงเทศน์เช่นนี้ ท่านลองพิจารณาดูว่า นี่เป็นสมมติบัญญัติในโลกมนุษย์ กษัตริย์ตายว่าชิ้นพระชนม์ รัฐบุรุษตายว่าถึงแก่อสัญกรรม มนุษย์ธรรมดาตายว่าตาย ถ้าหมาแมวตายก็ว่าตาย นี่คือสมมติบัญญัติของมนุษย์ เพราะฉะนั้นคำว่า “นิพพาน” ของพระองค์สมณโคดมในการทิ้งขันธ์นี้ก็เช่นเดียวกัน ก็คือต้องทิ้งร่างซากศพไว้ในโลกปฐพีบนพื้นดินทราย ส่วนจิตวิญญาณขึ้นสู่โลกวิญญาณเพื่อดูแลสอดส่องศาสนาพุทธของตถาคตนี้ยืนยาวถึงห้าพันปีหรือไม่ ถึงบัดนี้ศาสนาพุทธเลยพุทธกาลเพียงสองพันกว่าปีเท่านั้น เหล่าอรรถกถาจารย์ เหล่าฎีกาจารย์ยุคต่อมาไม่เข้าซึ้งถึงสัจจะอันแท้จริง ได้ผันแปรเปลี่ยนแปลงศาสนาของพระองค์สมณโคดม จนไม่รู้ศาสนาอะไร ในขณะนี้ โลกวิญญาณคิดว่าเมื่อสภาวการณ์มาถึงยุคนี้ โลกมนุษย์กำลังจะเกิดไฟอเวจีขึ้นเผาผลาญในไม่ช้า แหลมสุวรรณภูมิจะเป็นจุดชนวนแห่งการก่อ ทำอย่างไรเล่าจะระงับได้ จึงมีมติตรวจว่า เหล่าพระโพธิสัตว์แห่งยุคในแดนพุทธภูมิมีใครบ้างที่มีณานแก่กล้า ก็ได้พบพระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยามก็คือหลวงปู่ทวด ฉายาว่าเหยียบน้ำทะเลจืด ที่มนุษย์สมมติให้ซึ่งท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์ในยุคแห่ง อโยธยาเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความแข็งแกร่ง แห่งความแก่กล้าในพุทธภู มิของโลกวิญญาณ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ดูแลช่วยเหลือมนุษย์ ในยุคปัจจุบันนี้ เมื่อเลือกได้แล้ว ถ้าจะให้จุติมาในโลกมนุษย์คงไม่ทันกาลเวลา เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเติบโตแห่งกายเนื้อทางโลกวิญญาณเกรงว่าถ้าจุติมาคงจะไม่ทันการที่จะโปรดสัตว์ให้ทันกาล จึงให้องค์พระบรมโพธิสัตว์หลวงปู่ทวดฉายาเหยียบน้ำทะเลจืดลงมาโปรดสัตว์ในรูปวิญญาณนั้น จำเป็นที่จะต้องมีสื่อในการติดต่อระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ คือ ร่างทรงนั่นเอง โลกวิญญาณ จึงมีมติสั่งเหล่าเทพพรหมช่วยสอดส่องดูแลว่า มีมนุษย์ผู้ใดที่มีกรรมพัวพันกับพระโพธิสัตว์องค์นี้ก็ได้พบบุตรหลานที่มีกรรมพัวพันอย่างแน่นแฟ้นในอดีตได้จุติลงมาในโลกมนุษย์แล้ว และก็ได้เกิดอยู่ในแผ่นดินแดนสยามด้วย เพื่อช่วยฟื้นฟูกู้ปฐพีแดนสยามอยู่ในขณะนี้ จึงมีมติให้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ในดินแดนอันสยามประเทศใช้เป็นสถานที่ทำงาน เพื่อเผยแผ่อาณาจักรโพธิสัตว์ต่อไปในกาลข้างหน้า แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นว่ามีมนุษย์ที่ซึ้งถึงสัจจะอันแท้ของโลกวิญญาณ ที่จะมาทำงานให้ลุล่วงไปด้วยดี เป็นการน่าปลงสังเวชยิ่งนักโลกวิญญาณจึงได้วางแผนใหม่ จะตั้งอาณาจักรสงฆ์ขึ้นในโลกมนุษย์ งานจะดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับมนุษย์ช่วยมนุษย์ และขึ้นอยู่กับกาลเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนวันนี้ ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสมาเหยียบสำนักปู่สวรรค์ ขอให้ท่านปรับปรุงจิตปรับปรุงใจ เพื่อบำเพ็ญตนสู่นิพพานเถิด
เจริญพร
( หนังสือ ธรรมะจากดวงวิญญาณบริสุทธิ์ สมเด็จโต )