พระแม่กวนอิมพันเนตรพันกร องค์สูงใหญ่ที่สุดในโลก จังหวัดเพชรบุรี

  • Home
  • พระแม่กวนอิมพันเนตรพันกร องค์สูงใหญ่ที่สุดในโลก จังหวัดเพชรบุรี

พระแม่กวนอิมพันเนตรพันกร องค์สูงใหญ่ที่สุดในโลก จังหวัดเพชรบุรี นมัสการขอพรพระแม่กวนอิมพันมือ ศักดิ์สิทธิ์ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรม จ.เพชรบุรี

วันวิสาขบูชาสำคัญอย่างไรเทศน์เมื่อวันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๓                                                      ...
22/05/2024

วันวิสาขบูชาสำคัญอย่างไร
เทศน์เมื่อวันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันวิสาขบูชา
สำนักปู่สวรรค์ได้จัดให้มีพิธีการแผ่รัศมีลงพลังจิตดินอันศักดิ์สิทธิ์ ๗ ประเทศ เพื่อบรรจุลงในพระเศียรองค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย ในการแก้อาถรรพณ์คลายความร้อนที่จะอุบัติในแหลมสวรรณภูมิให้บรรเทาเบาบางลงโดยการลงพลังจิตของดวงพระวิญญาณของท่านผู้สำเร็จทั้งหลาย ในวันนั้นดวงพระวิญญาณของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้เสด็จมาเทศน์โปรดบรรดาสานุศิษย์ด้วยเรื่องวันวิสาขบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เหตุที่วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาในวันเดียวกัน
สมเด็จ : เจริญพร วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันแห่งความอัศจรรย์ของศาสนาพุทธ ที่ได้อุบัติขึ้น ณ โลกมนุษย์ บัดนี้ เวลาล่วงเลยไปเป็นอดีตภาคสองพันกว่าพรรษาแล้ว วันนี้สำนักปูสวรรค์อันเป็นสำนักแห่งโลกวิญญาณที่มาตั้งอยู่ในโลกมนุษย์ ได้จัดพิธีปลุกเสกลงพลังจิตของเหล่าผู้สำเร็จทั้งหลาย ที่มาร่วมลงพลังจิตในรูปวิญญาณก็ดี ที่มายืมร่างมนุษย์เพื่อลงพลังจิตให้ขลังยิ่งขึ้นก็ดี รวมทั้งหมดมี ๓๘ ล้านโกฏิ พร้อมกันในที่นี้มีทั้งเหล่าพระปัจเจกโพธิเจ้า เหล่าพระโพธิสัตว์ เหล่าพระพรหมสุทธาวาส เหล่าพระพรหมชั้นสูง ทั้งเหล่าศากยราช เหล่าพรหมเหล่าเทพที่อยู่ในสมัยพุทธกาลก็ได้มาร่วมชุมนุมกันในที่นี้ รวมทั้งพวกรุกขเทวดาที่อยู่นอกเทวโลก ที่อยู่นอกพรหมโลก ได้มาร่วมอนุโมทนาในพิธีการที่จะคลายความร้อนแห่งแหลมสุวรรณภูมิคืนนี้ นับได้ว่าเป็นนิมิตดีแห่งอากาศ รับทราบว่า ความร้อนที่คุกรุ่นในแหลมสุวรรณภูมินั้นจะเย็นด้วยนิมิต เพราะฝนที่ตกปรอยมาตลอดไม่ขาดสาย จนกระทั่งถึง ณ บัดนี้ เมื่อคืนนี้หลวงปู่ท่านได้มาติดต่อกับเหล่าเทวดาว่าให้ยุติการโปรยฝนในแดนสยามได้หรือไม่ ในสภาพการณ์อันนี้ เหล่าเทพประจำทิศแถลงว่า การที่จะไม่โปรยฝนนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะมีบัญชาจากองค์อมรินทร์จอมเทพให้เหล่าเทพทั้งหลายทำการเทโปรยฝนอนุโมทนาในการสร้างรวมดินแหลมสุวรรณภูมิเป็นผืนแผ่นดินเดียวกันในอนาคตกาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้เป็นสำนักปู่สวรรค์ ท่านทราบหรือไม่ว่าสานุศิษย์ของท่านผู้ที่ไม่มีรถมีมาก ผู้มีรถมีน้อย ถ้าฝนไม่ตกแห่กันมามากกว่าพิธีจะเสร็จย่อมเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน แล้วเขาจะกลับกันอย่างไรเล่า เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ฝนมาพอสมควร นี่คือการชี้แจงของเทพประจำทิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีการวันนี้ มีเหล่าเทวดาทั้งหลายที่ไม่สามารถเข้าสู่เทวโลก เหล่าพระพรหมทั้งหลายที่ไม่สามารถเข้าสู่พรหมดลกบอกว่า พวกเขาไม่มีโอกาสฟังธรรมที่ท่านโตแสดงอยู่ ณ สวรรค์ชั้นที่ ๔ บ่อยนัก เพราะฉะนั้นวันนี้ขออาราธนาเทศน์ให้เหล่าข้าน้อยได้ฟังธรรมของท่านด้วยเถิด ดังนั้นอาตมพาตก็จะอนุโลมในการเทศน์ครั้งนี้เพื่อโปรดเหล่าเทพพรหมทั้งหลายที่มาอยู่ในที่นี้ รวมทั้งเหล่ามนุษย์ที่มาร่วมพิธีนี้ด้วย คือว่าวันนี้อาตมพาตจะมาเทศน์ในเรื่อง วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญอย่างไร บัดนี้เป็นวันแห่งวิสาขบูชา เป็นวันอัศจรรย์ของศาสนาพุทธที่วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม มาร่วมอยู่ในวันเดียวกัน เพราะเหตุใดเล่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมจึงตั้งจิตอธิษฐานจิตเช่นนี้ เพราะว่าพระองค์มีเจโคปริยญาณหยั่งรู้กาลล่วงหน้าในพุทธกาลว่า ในอนาคตกาลข้างหน้านั้น ศาสนาพุทธของพระองค์จะเหลือแต่กระพี้และเปลือกแห่งพุทธะเท่านั้น เมื่อเหลือกระพี่และเปลือกแล้ว ถ้าพระองค์ไม่จัดการให้วันแห่งความสำคัญรวมกันเป็นวันเดียวแล้วไซร้ เหล่ามนุษย์ยุคต่อมาจะเอาวันพิธีการศาสนาเพื่อหากินเลี้ยงชีพ ก็คือเอาศาสนามาบังหน้า เพื่อเลี้ยงชีพประทังชีวิตอย่างซึ่งเป็นอยู่ในยุคปัจจุบัน ณ บัดนี้ อาตมภาพขอให้ท่านทั้งหลายจงหลับตาและวาดภาพวิปัสสนึก ก็คือจงนึกถึงขณะนี้วันนี้เวลานี้เมืองกุสินาราแห่งดินแดนสาละวันอันเป็นแห่งที่องค์สมณโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปรินิพพานสิ้นจากโลกมนุษย์ คือ ทิ้งขันธ์ไว้ในโลกมนุษย์ จิตวิญญาณพุ่งเข้าสู่เทวโลกชั้นดาวดิงส์ ท่านจงหลังตานึกมโนภาพดูซิว่า เหล่าสาวกที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ยังไม่สำเร็จก็ดี ได้เกิดโกลาหลด้วยการหลั่งน้ำตา เสียดายในการสิ้นขันธ์ขององค์สมณโคดม ซึ่งได้ทิ้งสังขารไว้ ณ เมือง แห่งนี้ อันก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมขนาดหนักในโลกมนุษย์แห่งสมมติวันนี้ แต่ขอให้ท่านทั้งหลายจงหันความสนใจมาดูในโลกวิญญาณบ้าง พรหมโลก เทวโลก ยมโลก ได้เตรียมการต้อนรับดวงพระวิญาณ ขององค์พระสมณโคดมที่เป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคที่ถูกส่งมายังโลกมนุษย์ได้ทำงานเผยแผ่สัจธรรมเป็นผลสำเร็จ ณ บัดนั้น โลกวิญญาณได้เกิดความยินดีปราโมทย์ต้อนรับดวงพระวิญญาณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับขึ้นสู่เบื้องบนสรวงสวรรค์ คราวนี้ อาตมภาพขอให้ท่านทั้งหลายจงระลึกย้อนไปถึงโลกอีกโลกหนึ่งคือ มารโลก บรรดาเหล่าพญามารทั้งหลาน ได้ตีฆ้องร้องป่าวด้วยความโสมนัสปรีดาว่า บัดนี้คนดีแห่งโลกมนุษย์ได้สิ้นแล้ว ศาสนาจะต้องถูกการปกปิดของเหล่าอลัชชีในยุคต่อมา วันเวลานี้ อาตมภาพได้ให้ท่านนึกถึงความโศกเศร้าพอสมควรแล้ว เพราะฉะนั้น อาตมาภาพจะเปลี่ยนแกใหม่อีกวาระหนึ่ง ก็คือขอให้ท่านทั้งหลายตั้งจิตวิปัสสนึก นึกไปสู่ ณ ดินแดนอีกแห่งหนึ่ง คือลุมพินีวัน ที่อยู่ติดระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ กับเมืองกะระนะ (เมืองเทวทะหะ) วันนี้ได้เกิดความอัศจรรย์ สิทธัตถะราชกุมารได้ประสูติ ณ ดินแดนลุมพินีสถานแห่งแคว้นกบิลพัสดุ์ และกะระนะ ในแผ่นดินแห่งชมพูทวีป เป็นวันแห่งโสมนัสยินดีอันใหญ่ยิ่งทั่วกรุงกบิลพัสดุ์ รวมทั้งเหล่าประชาได้เกิดความปีติโสมนัสว่า บัดนี้กรุงกบิลพัสดุ์ได้กำเนิดมีกษัตริย์ผู้ที่จะสืบเชื้อสายแห่งศากราชแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมภาพ จึงให้ท่านนึกถึงความตายแล้วค่อยนึกถึงความเกิด ก็คือนึกดีใจขึ้น ณ บัดเดี๋ยวนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายวาดภาพนึกจินตนาภาพในการชื่นชมถ้าเป็นหญิงก็วาดจินตนาภาพว่า บัดนี้มีบุตรน้อยๆ เกิดขึ้นในดินแดนแห่งปฐพีแหลมชมพุทวีป ถ้าเป็นชายก็ได้เกิดความปีติปราโมทย์แห่งความที่จะได้เป็นบิดาคนขึ้น ณ บัดนี้ ซึ่งเป็นความอัศจรรย์ใจในครั้งนั้น เมื่อท่านนึกถึงความใจดี และนึกถึงความเสียใจแล้ว อาตมภาพขอให้ท่านจงใช้หลังวิปัสสนึกนึกต่อไปถึงเมืองอีกเมืองหนึ่งเมืองกุรุสะกะประเทศ ซึ่งเป็นเมืองที่องค์สมณโคดมได้ตรัสรู้ ณ พื้นปฐพีแห่งใต้ร่มเงาต้นโพธิ์ เวลานี้ สัจจะแห่งธรรมอันแท้จริงได้อุบัติขึ้น ณ โลกมนุษย์ โดยมีผู้ที่จะนำออกเผยแพร่สั่งสอน เมื่อท่านนึกถึงความตายแล้ว มานึกถึงการเกิด อาตมภาพจึงขอให้ท่านนึกถึงความอนิจจังแห่งสรรพสิ่งของคำว่าสัจธรรม ณ บัดนี้ ในกาลครั้งนี้แหล่ ได้เกิดบรมศาสดาขึ้นในโลกมนุษย์ ณ วันนี้เวลานี้ ในการที่จะทำให้ผืนแผ่นดินแห่งคำว่าศาสนาพุทธ ได้เจริญงอกงามขึ้นแผ่เข้ามาจนถึงเมืองต่างๆ ในแหลมสุวรรณภูมิ และในสภาพการณ์นั้น อาตมภาพจะเทศน์ในเรื่องว่า เพราะเหตุใดจึงทำให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งโคดมได้เข้าสู่การเป็นนักบวช เนื่องจากเหตุว่าในยุคนั้น ชมพูทวีปได้เป็นกลียุคได้เป็นยุคแห่งไฟอเวจีจะเผาผลาญยุคเช่นนี้ ในสภาพการณ์นั้นโลกวิญญาณทั้งโลกพรหมโลก เทวโลก และยมโลกได้ประชุมพรอมกันตรวจดินแดนพุทธภูมิว่า มีพระโพธิ์สัตว์องค์ใดเล่าที่มีวามแข็งแกร่งแก่กล้าสะสมบารมี สมควรที่จะเป็นพระพุทธแห่งยุค ด้วยทิพยเนตร ทิพยอำนาจ ก็ได้พบว่า พระโพธิสัตว์สมณโคดม สมควรที่จะเสด็จลงมาโปรดสัตว์ในยุคนั้น จึงได้อาราธนาเทพบุตรแห่งชั้นดุสิตนั้น ลงจุติในพระครรภ์มารดาคือพระนางสิริมายา ท่านทั้งหลายลองหลับตานึกดูถึงความเลื่อมล้ำต่ำสูงของมนุษย์ในดินแดนชมพูทวีป ซึ่งเกิดการแบ่งแยกเป็นวรรณะสี่ ในเมืองกบิลพัสดุ์ก็ดี พาราณสีก็มี มคธก็ดี สาวัตถีก็ดี กุสินาราก็ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งน่าปลงสังเวช เมื่อมนุษย์ทุกคนต่างคนต่างเกิดมา ต่างคนต่างมาใช้กรรม เหตุไฉนจึงต้องมีการแบ่งชั้นวรรณะจนเกินวิสัยการเป็นคนเล่า การที่มนุษย์จะฆ่ามนุษย์ในชมพูทวีปกำลังจะอุบัติขึ้นในยุคนั้น จึงเป็นการสมควรที่ทางโลกวิญญาณ ให้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ในผืนแผ่นดินพื้นปฐวีแห่งชมพูทวีปในครั้งนั้นในวันนี้ องค์พระสมณโคดมนั้น เป็นนักปราชญ์แห่งการสะสมมาแต่ละชาติ เพื่อโปรดสัตว์จรรโลงคุณความดีและศาสนาโดยแท้จริง เมื่อพระองค์ถูกส่งมาโปรดสัตว์แล้วสิ่งแรกที่พระองค์จะต้องทำคือ การทำลายระบบวรรณะทั้งสี่ เพื่อให้สัตวโลกมีเสรีภาพการครองตน ครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ ได้หนีออกจากพระราชวังเพื่อครองตนเป็นนักบวช และในกาลต่อมาก็ได้โปรดสัตว์เหล่าพระประยูรญาติ เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย เหล่าประชาชน เหล่าเดียรถีย์ เหล่าพราหมณ์ เหล่าศูทร เหล่าจัณฑาล เหล่ากษัตริย์ ได้รวมกันเป็นวงศ์ศากยมุนีขึ้นในแผ่นดิน และต่อมาก็ได้ทำการแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรมะไปทั่วทุกทวีป และได้เข้าสู่แค้วนต่างๆ ของพื้นปฐพีแห่งโลกมนุษย์ หลังจากบากบั้นต่อสู้กับเข้าลัทธิเหล่ามารทั้งหลายจนถึงวาระแห่งการปรินิพพานในวันนี้ ซึ่งท่านลองหลับตาดูในขณะที่ว่าเหล่าพระสงฆ์ทั้งหลายได้ทำการปลงสังเวชขึ้นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงหนอ ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา แม้แต่พระบรมศาสดาก็ยังต้องดับขันธ์ปรินิพพานทิ้งขันธ์ไว้ในโลกมนุษย์ เหลือแต่จิตวิญญาณกลับสู่โลกวิญญาณ ซึ่งเป็นการเทศน์นอกพระไตรปิฎก เนื่องจากมนุษย์ยุคต่อมาไม่เข้าใจก็แปลคำว่า “นิพพาน” นี้ผิดไป อาตมาเคยได้เทศน์แล้วว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง คำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง แปว่า นิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง ก็คือท่านมี ความนิ่ง มีความหยุด มีความละ มีความวาง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ก็คือจากการมีกิเลสครอบงำในจิตวิญญาณแห่งสังขารของท่าน เพราะอะไรเล่าอาตมาภาพจึงเทศน์เช่นนี้ ท่านลองพิจารณาดูว่า นี่เป็นสมมติบัญญัติในโลกมนุษย์ กษัตริย์ตายว่าชิ้นพระชนม์ รัฐบุรุษตายว่าถึงแก่อสัญกรรม มนุษย์ธรรมดาตายว่าตาย ถ้าหมาแมวตายก็ว่าตาย นี่คือสมมติบัญญัติของมนุษย์ เพราะฉะนั้นคำว่า “นิพพาน” ของพระองค์สมณโคดมในการทิ้งขันธ์นี้ก็เช่นเดียวกัน ก็คือต้องทิ้งร่างซากศพไว้ในโลกปฐพีบนพื้นดินทราย ส่วนจิตวิญญาณขึ้นสู่โลกวิญญาณเพื่อดูแลสอดส่องศาสนาพุทธของตถาคตนี้ยืนยาวถึงห้าพันปีหรือไม่ ถึงบัดนี้ศาสนาพุทธเลยพุทธกาลเพียงสองพันกว่าปีเท่านั้น เหล่าอรรถกถาจารย์ เหล่าฎีกาจารย์ยุคต่อมาไม่เข้าซึ้งถึงสัจจะอันแท้จริง ได้ผันแปรเปลี่ยนแปลงศาสนาของพระองค์สมณโคดม จนไม่รู้ศาสนาอะไร ในขณะนี้ โลกวิญญาณคิดว่าเมื่อสภาวการณ์มาถึงยุคนี้ โลกมนุษย์กำลังจะเกิดไฟอเวจีขึ้นเผาผลาญในไม่ช้า แหลมสุวรรณภูมิจะเป็นจุดชนวนแห่งการก่อ ทำอย่างไรเล่าจะระงับได้ จึงมีมติตรวจว่า เหล่าพระโพธิสัตว์แห่งยุคในแดนพุทธภูมิมีใครบ้างที่มีณานแก่กล้า ก็ได้พบพระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยามก็คือหลวงปู่ทวด ฉายาว่าเหยียบน้ำทะเลจืด ที่มนุษย์สมมติให้ซึ่งท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์ในยุคแห่ง อโยธยาเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความแข็งแกร่ง แห่งความแก่กล้าในพุทธภู มิของโลกวิญญาณ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ดูแลช่วยเหลือมนุษย์ ในยุคปัจจุบันนี้ เมื่อเลือกได้แล้ว ถ้าจะให้จุติมาในโลกมนุษย์คงไม่ทันกาลเวลา เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเติบโตแห่งกายเนื้อทางโลกวิญญาณเกรงว่าถ้าจุติมาคงจะไม่ทันการที่จะโปรดสัตว์ให้ทันกาล จึงให้องค์พระบรมโพธิสัตว์หลวงปู่ทวดฉายาเหยียบน้ำทะเลจืดลงมาโปรดสัตว์ในรูปวิญญาณนั้น จำเป็นที่จะต้องมีสื่อในการติดต่อระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ คือ ร่างทรงนั่นเอง โลกวิญญาณ จึงมีมติสั่งเหล่าเทพพรหมช่วยสอดส่องดูแลว่า มีมนุษย์ผู้ใดที่มีกรรมพัวพันกับพระโพธิสัตว์องค์นี้ก็ได้พบบุตรหลานที่มีกรรมพัวพันอย่างแน่นแฟ้นในอดีตได้จุติลงมาในโลกมนุษย์แล้ว และก็ได้เกิดอยู่ในแผ่นดินแดนสยามด้วย เพื่อช่วยฟื้นฟูกู้ปฐพีแดนสยามอยู่ในขณะนี้ จึงมีมติให้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ในดินแดนอันสยามประเทศใช้เป็นสถานที่ทำงาน เพื่อเผยแผ่อาณาจักรโพธิสัตว์ต่อไปในกาลข้างหน้า แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นว่ามีมนุษย์ที่ซึ้งถึงสัจจะอันแท้ของโลกวิญญาณ ที่จะมาทำงานให้ลุล่วงไปด้วยดี เป็นการน่าปลงสังเวชยิ่งนักโลกวิญญาณจึงได้วางแผนใหม่ จะตั้งอาณาจักรสงฆ์ขึ้นในโลกมนุษย์ งานจะดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับมนุษย์ช่วยมนุษย์ และขึ้นอยู่กับกาลเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนวันนี้ ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสมาเหยียบสำนักปู่สวรรค์ ขอให้ท่านปรับปรุงจิตปรับปรุงใจ เพื่อบำเพ็ญตนสู่นิพพานเถิด
เจริญพร
( หนังสือ ธรรมะจากดวงวิญญาณบริสุทธิ์ สมเด็จโต )

ทรงพระเจริญ
04/05/2024

ทรงพระเจริญ

วันใหม่ ฟ้าใหม่ เริ่มต้นทำ ความดีใหม่“อันวันใหม่ ฟ้าใหม่ วนเวียนไปสุขหรือทุกข์ อยู่ที่กาย พร้อมกับใจตนทำดี ย่อมมีสุข ตนท...
13/04/2024

วันใหม่ ฟ้าใหม่ เริ่มต้นทำ ความดีใหม่
“อันวันใหม่ ฟ้าใหม่ วนเวียนไป
สุขหรือทุกข์ อยู่ที่กาย พร้อมกับใจ
ตนทำดี ย่อมมีสุข ตนทำชั่ว ย่อมมีทุกข์
อันวันใหม่ ฟ้าใหม่ วนเวียนมา
โลกเคลื่อนไหว สลาย ตามภาวะ
มนุษย์ไซร้ เกิดแก่ และเจ็บตาย
วนเวียนไป ตามกาล และเวลา
มีชีวิต หมั่นทำบุญ สร้างกุศล
อมบุญไว้ ใช้ใน ปรภพ ด้วยกุศล ผลบุญ ตนทำเอย...”
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

๒ เมษายน ๒๕๖๗เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มห...
02/04/2024

๒ เมษายน ๒๕๖๗
เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี
ขอพระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษาและพระชนมายุยิ่งยืนนาน

ข้อปฏิบัติของนักมังสวิรัติ :คำแนะนำ ของ ทูตสันติภาพฯ พระอริยวังโส ภิกขุ (อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์) ข้อปฏิบัติของนักมัง...
27/03/2024

ข้อปฏิบัติของนักมังสวิรัติ :
คำแนะนำ ของ ทูตสันติภาพฯ พระอริยวังโส ภิกขุ (อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์) ข้อปฏิบัติของนักมังสวิรัติ
๑. กินถั่ว งา อย่างน้อยละ ๑ ช้อนทุกวัน
๒. ดื่มน้ำมากๆ
๓. ตื่นนอนให้ดื่มน้ำเปล่า ๓ แก้วก่อนแปรงฟัน
๔. ทุกวันกินส้ม ๒ ผล กล้วยน้ำหว้า ๑ ผล มะเขือเทศ ๓ ผล
เกลือ ๑/๒ ช้อนชา สุขภาพจะแข็งแรง

การเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์พระโพธิสัตว์แห่งยุคในการบำเพ็ญไปสู่แดนพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ข้อนี้เราต้องพูดแบบในโลกมนุษย์แล้ว ...
06/03/2024

การเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์แห่งยุค
ในการบำเพ็ญไปสู่แดนพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ข้อนี้เราต้องพูดแบบในโลกมนุษย์แล้ว ความเชื่อถือของมนุษยชาติต่อเรื่องพระเจ้า ความเชื่อถือของมนุษย์ต่อเรื่องศาสนา ความเชื่อถือของมนุษยชาติต่อเรื่องพุทธศาสนาแล้ว ทางพุทธศาสนาดูเหมือนจะแบ่งเป็นสองนิกาย คือ ฝ่ายเถรวาทกับฝ่ายมหายาน ในเรื่องของโลกวิญญาณควรจะเป็นฝ่ายมหายานมากกว่า คือ มหายานเขาจะมีพุทธเกษตรมีพระโพธิสัตว์ ฝ่ายเถรวาทเขาจะมีแต่อรหันต์และนิพพาน สำหรับในด้านของตำรา อาตมา (หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด) พูดในเรื่องตำราให้ท่านรู้ กำลังจะมาพูดในเรื่องของโลกวิญญาณ คือในแดนพระโพธิสัตว์ มีพระโพธิสัตว์ที่สำเร็จตั้งแต่เรียกว่าเปิดโลกจนถึงปัจจุบัน ถ้าจะนับธรรมขันธ์ที่เขาเชื่อกันก็มีแปดหมื่นสี่พันองค์ เท่าจำนวนพระธรรมขันธ์ที่ได้บำเพ็ญมหาบารมีจนจะมาเป็นมหาโพธิสัตว์แห่งยุค ต่อจากศาสนาแห่งสิทธัตถะทุกคนก็รู้แล้วว่าพระศรีอริยเมตไตรย และในแปดหมื่นสี่พันองค์นี่เขาก็เลือกตั้ง ถ้าพูดแบบในโลกมนุษย์เขาเรียกว่า อาตมานี่ประธานดูแลโลกมนุษย์และเป็นผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคสืบต่อจากพระศรีอริยเมตไตรย ศาสนาพุทธสิตธัตถะอธิษฐานแค่ห้าพันปีก็เหลือสองพันกว่าปี ศาสนาศรีอริยเมตไตรยอธิษฐานเมื่อเกิดเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุค เขาขออธิษฐานตั้งสัจบารมีสองหมื่นปีของศาสนาของเขา แต่ของอาตมายังไม่ได้ตั้งสัจจะ
หมายเหตุ "ท่านจะเชื่อหรือไม่เป็นสิทธิเสรีภาพของท่าน แต่เราเชื่อของเรา" นี่คือ คำพูดของดวงพระวิญญาณ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
( หนังสือ ประวัติสังเขป พระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด )
คุณธรรมของการเป็นพระโพธิสัตว์
การบำเพ็ญแนวทางพระโพธิสัตว์นั้น จะต้องมีหลัก มีเกณฑ์ มีสัจจะ มีธรรมะ เขาเรียกว่ามีคุณธรรมของการเป็นพระโพธิสัตว์ คุณธรรมของการเป็นพระโพธิสัตว์นั้น จะต้องมีความแน่วแน่ในการรับทุกขบารมีทุกอย่างแทนสัตวโลก จะต้องมีความแน่วแน่ในการที่จะถูกอิจฉาริษยานินทากล่าวร้ายจากสัตวโลกที่ไม่เข้าใจเรา ตัวเราจะต้องควบคุมจิตใจอย่ามีความอิจฉาริษยานินทากล่าวร้ายบุคคลอื่นที่ใส่ร้ายเรา พระโพธิสัตว์จึงไปสู่แนวทางนั้นได้สำเร็จ พระโพธิสัตว์จะไม่มีการอวดตน พระโพธิสัตว์จะต้องพยายามสำรวจตัวเอง พระโพธิสัตว์จะต้องพยายามอุเบกขา พระโพธิสัตว์จะต้องมีความนิ่งเป็นอารมณ์แห่งสรณะ พระโพธิสัตว์จะต้องมีความแน่วแน่ในการที่จะตั้งสัจบารมีในการทำงานใดๆ ที่มีอุปสรรค พระโพธิสัตว์ถือว่าการอดทนต่อการขัดขวางของมหามาร เป็นการบำเพ็ญขันติธรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ท่านจะต้องท่องขึ้นใจ
( พระโอวาทหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด )
การเจริญตามรอยพระโพธิสัตว์
การเจริญตามรอยพระโพธิสัตว์
ปัจจุบันอารมณ์จะต้องมีความแน่วแน่ไม่หวั่นไหวต่ออายตนะทุกอย่างที่เข้ามา
จะต้องมีจิตเป็นอุเบกขาแห่งอารมณ์
จะต้องมีความหนักแน่นในการกล่าวร้ายป้ายสีนินทาของสัตวโลก
จะต้องควบคุมอายตนะของตนให้สงบนิ่ง
จะต้องหมั่นพิจารณาจับความผิดของตนและหมั่นพิจารณาอารมณ์ที่ไม่ดีอันเกิดขึ้นจากการยั่วยุของสัตวโลก
จะต้องหมั่นสำรวจจิตให้สะอาด
จะต้องหมั่นรำลึกถึงคุณธรรมแห่งการเป็นพระโพธิสัตว์ ก็คือ ตนจะต้องยอมเสวยมหาทุกข์ แม้ว่าจะถูกสัตวโลกที่ปองร้ายเอาดาบมาฟันคอ เราจะต้องมีความเมตตาต่อสัตวโลกที่ทำลายเรา ไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดทำลายเรา ไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้ที่จะฆ่าขันธ์เรา ไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้ที่ทำลายสัจจะของเรา
ภาวะแห่งการที่จะเป็นคนหนักแน่น
ในฐานะที่เรามาช่วยงานพระโพธิสัตว์เราก็ควรที่จะวางจิตนิ่ง ภาวะแห่งการวางจิตนิ่งเพื่อพิจารณาลมปากของแต่ละฝ่ายที่เข้ามาสู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเราแล้ว เราต้องมีความสุขุมในการพิจารณา เพราะในสภาวะต้องเข้าใจว่า มนุษย์ปุถุชนย่อมมีความเห็นแก่ตัวเองเป็นใหญ่ มนุษย์ปุถุชนย่อมที่จะมีความเห็นไปในทางที่ไม่สามารถจะมองเห็นความผิดของตน มนุษย์ปุถุชนย่อมที่จะเข้าข้างตัวเองเป็นใหญ่ มนุษย์ปุถุชนย่อมที่จะเอาในทางที่ตนต้องการเป็นใหญ่ ฉะนั้นในสภาวะที่เราจะให้ตัวเราหนักแน่นก็คือ เราต้องถือว่าทุกอย่างเป็นลมที่ผ่านมา และทุกๆชีวิตเพียงแต่มาใช้กรรมชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็จากพื้นพิภพแห่งมนุษย์ไปเสวยในภพที่ยาวนาน เราต้องมีความอภัยทานเป็นหลัก มีความเมตตาเป็นหลัก มีความอุเบกขาเป็นหลัก แล้วเราก็จะเป็นคนหนักแน่นได้
อารมณ์แห่งการเป็นพระโพธิสัตว์
อารมณ์แห่งการเป็นพระโพธิสัตว์ คือ
มีอารมณ์แห่งการให้
มีอารมณ์แห่งการอภัย
มีอารมณ์แห่งความไม่ยึด
มีอารมณ์แห่งความนิ่งเฉย
มีอารมณ์แห่งการที่จะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างในกฎของอนิจจัง อนัตตา
พระโพธิสัตว์จะมีอารมณ์อีกอย่างหนึ่งว่า หากแม้นเขามาขออะไรก็ต้องให้ แม้แต่ร่างกายต้องอุทิศแก่สัตวโลกได้ เพื่อโพธิธรรม เพื่อโพธิญาณ ถ้าเขาขอแขนก็ต้องตัดแขน ถ้าเขาขอตาก็ต้องควักตา เขาขออะไรก็ต้องให้
อนาคตแห่งการเป็นพระโพธิสัตว์
อนาคตแห่งการเป็นพระโพธิสัตว์ คือ พยายามหาเวลาบำเพ็ญจิตของตนให้แข็งแกร่ง ภาวะแห่งการเป็นพระโพธิสัตว์นั้นนะ ต้องใช้ทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ต่อสัตวโลกและต่อตนเอง สมมติว่ากลางวันเราโปรดสัตว์กลางคืนเราต้องโปรดจิตวิญญาณของเราเอง
พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่นอน
พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่กิน
พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่พูด และ
พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่นั่ง
พระโพธิสัตว์ต้องมีอารมณ์แห่งความแน่วแน่ที่จะทำทุกวิถีทางให้จิตวิญญาณของสัตวโลกสูงขึ้น สูงขึ้น มีคุณธรรมแห่งการรับกระแสโพธิญาณ นั่นคือ อารมณ์และสัจจะของพระโพธิสัตว์
คติประจำใจของพระโพธิสัตว์
"ตนต้องยอมทนทุกข์ทรมาน
เพื่อโกยสัตวโลกให้พ้นทุกข์
ตราบใดที่สัตวโลกยังไม่พ้นทุกข์
ตราบนั้นตถาคตจะไม่เข้านิพพาน"
ธรรมารมณ์ของพระโพธิสัตว์
ท่านได้ร่วมกันบำเพ็ญอธิษฐานบารมีเพื่อให้โลกเกิดสันติ เพื่อให้มนุษย์อยู่เย็นเป็นสุข เพื่อให้ประเทศไทยเป็นเอกราช ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ดีมาก เพราะว่าการอธิษฐานนั้นเป็นการตั้งสัจจะเพื่อแผ่เมตตาให้แก่สัตวโลก จิตแห่งการอธิษฐานนี้นับว่าเป็นจิตที่สูง คือท่านได้พยายามปรับจิตวิญญาณของท่านให้เป็นผู้ให้ ไม่ใช่เป็นผู้ขอ และไม่ใช่เป็นผู้ยึด
เพราะฉะนั้น อาตมาจึงหวังว่าถ้าท่านทั้งหลายร่วมกันอธิษฐานและพยายามปฏิบัติจิตวิญญาณให้อธิษฐานเรื่อยๆ ไป เท่ากับท่านได้ทำงานสำคัญของการเป็นมนุษย์ที่ดีคือ
๑. ท่านได้พยายามฝึกจิตวิญญาณของท่านให้มีเมตตาต่อสัตวโลก
๒. ฝึกให้จิตใจนั้นไม่เป็นคนคับแคบ
๓. ฝึกให้ตนเป็นผู้เสียสละ
เพราะฉะนั้นธรรมารมณ์แห่งการอธิษฐานนี้แหละเป็นธรรมารมณ์ของพระโพธิสัตว์ที่สรรเสริญมนุษย์ว่า มนุษย์ผู้นั้นเริ่มมีอารมณ์แห่งการเป็นพระโพธิสัตว์ และท่านทั้งหลายก็ขอพร อาตมาก็ขอบอกท่านว่า
พรที่ดีที่สุด คือ การให้
ให้ทุกอย่างแก่สัตวโลก
ให้ทุกอย่างแก่เพื่อนมนุษย์
ให้ทุกอย่างแก่ประเทศชาติที่ท่านอยู่
ให้ทุกอย่างแก่สังคมที่ท่านเกี่ยวข้อง
ให้ทุกอย่างแก่หมู่คณะที่ท่านมีกิจส่วนร่วม
นั่นคือ พรอันสูงสุด

แม้นกาลเวลาล่วงเลยผ่าน ๒ หมื่นปียังรำลึก :พิธีบวงสรวง ถวายเครื่องสักการะ สวดมนต์ ปฏิบัติบูชา อธิษฐานบูชา ถวายภัตตาหารเพล...
02/11/2023

แม้นกาลเวลาล่วงเลยผ่าน ๒ หมื่นปียังรำลึก :
พิธีบวงสรวง ถวายเครื่องสักการะ สวดมนต์ ปฏิบัติบูชา อธิษฐานบูชา ถวายภัตตาหารเพล อธิษฐานน้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลฯ เนื่องในวันคล้ายวันทิ้งขันธ์ พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (เจ้าแม่กวนอิม) วันที่ ๑๙ เดือน ๙ (นับแบบจีน) แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีเถาะ ตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๒๙ นาฬิกา ณ อุทยานศาสนาพระโพธิสัตว์กวนอิม ต.พุสวรรค์ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ร่วมอนุโมทนาศาสนิกชนทุกๆ ท่านที่มีส่วนร่วมด้วยช่วยงานบำเพ็ญในครั้งนี้ สาธุ สาธุ สาธุ

กัณฑ์เปิดโลกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี                                                                           ...
01/11/2023

กัณฑ์เปิดโลก
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี เทศน์ เมื่อวันวิสาขาบูชา ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ เวลา ๒๔.๐๐ น.
โลกนี้มาจากไหน มนุษย์เกิดขึ้นได้อย่างไร ในการขั้นแรกนี้จะต้องอธิบายถึงเรื่องโลกก่อน จักรวาลพิภพนี้เมื่อหนึ่งล้านกัปก่อน เป็นน้ำ ประมาณเก้าแสนกัป ก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง เรื่องกัปหรือเรื่องกัลป์นี้นับกันไม่รู้เรื่อง กัปหนึ่งก็นับกันไม่รู้เรื่องละ สำหรับภาษา คือ ถ้าจะนับกันตามตัวเลขก็ต้องหนึ่งหมื่นหนึ่งล้านเก้าพันเก้าร้อยเก้าล้าน ล้าน ล้านปี ถ้าจะนับกันตามภาษาของโลกเทวะ เขาบอกว่าหนึ่งกัปเท่ากับหนึ่งวัน หนึ่งคืน เดือนหนึ่งเทวะเอาผ้าวิเศษมาปัดฝุ่นที่ยอดเขาหิมาลัย จนกว่ายอดเขาหิมาลัยนั้นจะเรียบเหมือนพื้นดิน นั่นแหละ เรียกว่าหนึ่งกัป เพราะฉะนั้นหนึ่งกัปก็นับกันไม่รู้เรื่อง เรื่องกัปมันพูดคุยกันยาก ก็ประมาณหลังจากนั้นอีกประมาณสัก ๘๐ กัปหรือ ๙๐ กัปก็นับไม่ได้ สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นในจักรวาลของน้ำ คือ น้ำกลุ่มหนึ่งได้รวมขึ้นเป็นดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์เกิดขึ้นนี้ เรื่องแรกจะต้องพูดคุยถึงก็เรื่อง วิญญาณ ทันที เดิมทีวิญญาณทั้งหลายเสวยอาภัสร คือ เสวยอากาศเป็นอารมณ์ อยู่สัญญัตตา หรือสุญตา คือ สุญญากาศ ศูนย์แห่งการไม่มีอากาศ ศูนย์แห่งการว่างเปล่า เมื่อดวงอาทิตย์เกิดขึ้น วิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ได้เข้าไปอยู่ ณ พื้นดวงอาทิตย์ซึ่งมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในโลกนี้บูชาพระอาทิตย์นั้นอาตมภาพถือว่าไม่ผิด เพราะดวงอาทิตย์นั้นมีเหล่าวิญญาณกลุ่มแรก เข้าไปอยู่ในสถานที่อัศจรรย์ คือ ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นในจักรวาล พิภพ และทุกคนในโลกมนุษย์เข้าใจว่า ดวงอาทิตย์นั้นร้อน ตามหลักความเป็นจริงแล้วดวงอาทิตย์นั้นร้อนแต่ผิวภายนอก ภายในดวงอาทิตย์นั้นอบอุ่น ไม่มีฤดูกาล แต่เหล่าวิญญาณเขาก็อยู่ได้ ข้อนี้ยกออกไว้พูดกันต่อไป หลังจากนั้นประมาณ ๗๐ กัปหรือ ๙๐ กัปเรื่องกัปนั้นนับกันไม่ถ้วนดังกล่าวแล้ว โลกพระอังคารและดาวพระศุกร์ก็ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน ณ บัดนั้น โลกสองโลกนี้แหละเป็นเรื่องของการเกิดสัตวโลกขึ้น ในเรื่องของมนุษย์คือวิญญาณอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ไปอยู่ ณ ดาวพระอังคาร และ ดาวพระศุกร์ หลังจากนั้นอีกราวๆ ๑๐๐ กัป กลุ่มน้ำกลุ่มหนึ่งได้แยกสลายจากดวงอาทิตย์ พร้อมกับผสมน้ำในจักรวาลได้ลอยตัวขึ้นมาเกิดเป็นโลกนี้ ซึ่งเรียกว่าโลกมนุษย์ วิญญาณกลุ่มเสวยอาภัสรอยู่ สุญญัตตาของอากาศทั้งหลายมีตัวอยากตัวเดียวทำให้เกิดอนิจจังขึ้นมา กลุ่มวิญญาณกลุ่มนั้นอยากจะมาเที่ยวพิภพแดนใหม่ทีเกิดขึ้นนี้ ดวงดาวใหม่มีสิ่งมหัศจรรย์ คือมีละอองดิน เมื่อวิญญาณกลุ่มนั้นมาถึงโลกมนุษย์ วิญญาณนั้นมีอารมณ์ปีติอยู่ มาได้กลิ่นฟุ้งละอองดินอันหอมอย่างอัศจรรย์ เหล่าวิญญาณก็ได้สูบละอองดินเข้าไป รัศมีการคุ้มครองตัวได้ดับวูบลง ณ บัดนั้น จะกลับไปสู่สุญญากาศไม่ได้อีก เริ่มล่ะวิญญาณเริ่มเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์ปัจจุบัน เริ่มสูบเข้ามาก กายนั้นก็เริ่มๆ จะหยาบขึ้นมา หลังจากนั้นละอองดินก็หายไป เรื่องนี้องค์สมณโคดมได้เทศน์ไว้ว่า ต่อมาเหล่าเทวดาทั้งหลายได้กินง้วนดิน เมื่อกินง้วนดินเข้าไปๆ กายนั้นก็เริ่มหยาบขึ้นๆ ตามลำดับมา จนกระทั่งเวลานี้เห็นกันว่าเป็นสัตว์ประเสริฐที่ตั้งขึ้นมาเอง เมื่อง้วนดินหมดไป เถาวัลย์ชนิดหนึ่งก็เกิดขึ้นมา ณ พิภพดวงใหม่นี้ ได้กินเถาวัลย์เข้าไป ร่างกายก็ยิ่งหยาบขึ้นๆ และการแบ่งผิวพรรณได้อุบัติขึ้น ณ บัดนี้ เมื่อร่างกายผิวพรรณหยาบขึ้น ก็แบ่งว่าฉันสวย เธอไม่สวย เถาวัลย์นั้นก็หมดไป เมล็ดพืชได้อุบติขึ้น ณ บัดนี้ แต่เมล็ดข้าวไม่มีเปลือกเหมือนปัจจุบัน ทุกคนเช้าไปเก็บมากิน เย็นก็ไปเก็บมากิน เช้ามันก็เกอดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน ด้วยการกินอิ่มนี้แหละ ทำให้มนุษย์กลุ่มหนึ่งได้เกิดตัวโลภขึ้นมา ณ บัดนั้น คือเก็บสะสมเอาไว้กินอีกมื้อหนึ่ง ตอนเย็นขี้เกียจไปเอา เมื่อมนุษย์ใจชั่วหรือว่าสัตว์ใจชั่วเกิดอุบัติขึ้นเช่นนี้ สิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ณ บัดนั้น เมล็ดข้าวก็ได้กลายเป็นข้าวเปลือกขึ้น ต่อมาได้ทำการเก็บข้าวเปลือกมาตำแล้วก็กินใหม่ๆ สังขารเริ่มหยาบขึ้นๆ ๆ อีก จนกลายเป็นธรรมชาติแห่ง หญิง ชาย อุบัติขึ้น ณ บัดนั้น การเป็นหญิงชายนั้นแหละ จ้องกันไปจ้องกันมาเสพเมถุนกรรม คือ สมสู่อย่างสัตว์ได้เกิดขึ้น ณ บัดนั้น กาลต่อมาสมัยนั่นเริ่มการเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์นี้ การสมสู่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ละอาย จะต้องพรางตา จะต้องถูกขับไล่ ไม่เหมือนสมัยนี้ ถือว่าการสมสู่เป็นการที่ดี และมนุษย์เริ่มเมื่อรู้จักการสมสู่ อารมณ์แห่งอุปาทานรู้จักปรุงแต่งได้อุบัติขึ้นในสัญชาตญาณ จึงได้คิดสร้างบ้าน สร้างที่พัก สร้างใบไม้ต่างๆ มาปกปิดสังขาร กาลและเวลาต่อมา การแก่งแย่งชิงดี ชิงเอาอาหารเก็บกันมากขึ้นๆ จนกลายเป็นการรบราฆ่าฟันกันขึ้นในโลกมนุษย์ ณ บัดนั้น หัวหน้าหมู่เริ่มเกิดขึ้น พระมหากษัตริย์เริ่มเกิดขึ้น ราชาเริ่มเกิดขึ้น การปกครองคนเริ่มเกิดขึ้น โดยวิถีการ ผู้ที่ยังมีอารมณ์แห่งการนึกคิดประเสริฐกว่าผู้อื่น ก็จะได้ทำการปันเขตที่ดินทำการต่างๆ ว่า ที่นี้เป็นกลุ่มการทำมาหากินของท่าน กลุ่มการทำมาหากินของฉัน กาลต่อมา การสมสู่มากขึ้นๆ ธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงแห่งโลกวิญญาณ ทำให้หญิงชายสมสู่กันแล้ว ตัวอสุจิผสมกับไข่ของหญิงจะได้ฟักเป็นตัวคนขึ้นมาวิญญาณที่จะมา ณ โลกมนุษย์ ไม่มีที่จะกินกันแล้ว ต้องเข้าปฎิสนธิในครรภ์ของฝ่ายสตรีจนเกิดเป็นตัวตนของธรรมชาติสร้างมา กาลต่อมา หลังจากั้น โลกแห่งวัฎจักรสังขาร ได้เกิดขึ้น ณ บัดนั้น วิญญาณถูกแบ่งเป็นกลุ่มขึ้น ณ บัดนั้น โดยผู้ที่มาในโลกมนุษย์สมสู่มาก เกิดมาก อยากมีอารมณ์สัตว์ขึ้นมามาก ก็เป็นกลุ่มของนรกโลก เมื่อยังมีอารมณ์น้อยมีเรื่องน้อยก็เป็นกลุ่มของเทวะ เมื่อดับอนุสัยของเหล่านั้น ก็เป้นกลุ่มของพรหม นรกโลกขึ้นมา เพราะอะไรจึงทำให้เกิดโลกเหล่านี้เล่า เพราะตัวอยากของเหล่าวิญญาณ วิถีการณ์ต่อมาเพียงแค่ พรหมโลก เทวโลก นรกโลก ยังไม่พอ มนุษย์ในโลกยิ่งเกิดยุ่งยากขึ้น ยิ่งปรับปรุงธรรมชาติแห่งพืชพันธุ์ขึ้น ธาตุภูมิปรุงแต่งมากขึ้นๆ ทำให้เหล่ามนุษย์เสื่อมไปเรียกว่าเป็นสัตว์ไปยิ่งมากขึ้นๆ อารมณ์แห่งการเป็นโลกอมตะน้อยลงๆ จึงทำการรบราฆ่าฟัน ชิงดีชิงเด่นกันขึ้น ภาษาปัจจุบันเรียกว่า ศีลธรรมจรรยาเสื่อมไป ณ บัดนั้น มติที่ประชุมจึงได้กำหนดว่า จะต้องส่งผู้ที่มาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อเป็นองค์ศาสดา คือเป็นผู้มาสอนหลักการบางอย่าง ให้พยายามเคลื่อนที่ไปสู่ธรรมชาติของอารมณ์ในอดีตกาล เป็นกายอมตะ คือเป็นวิญญาณมาพัฒนาปรับปรุงพืชพันธุ์ในโลกมนุษย์แห่งดวงดาวนี้เท่านั้นเอง ก็อุบัติพระพุทธเจ้าขึ้น หรือหลักธรรมชาติแห่งพุทธะ เกิดขึ้นจึงเรียกว่า เปลี่ยนแปลงกันเรื่อยๆ จนถึงองค์สมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๖ องค์ที่ ๗ คือองค์ศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดใหม่ใน ๕๐๐๐ ปี ในอนาคตข้างหน้าเวลานี้อยู่สวรรค์ชั้นที่ ๔ และเคยจุติมาในโลกมนุษย์แล้วครั้งหนึ่งในสมัยองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย คือ องค์สังกัจจายน์ กาลเวลานั่นแหละ โลกของวิญญาณได้เปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ คือ แบ่งนรกสวรรค์ออกเป็น ๓๓ ชั้น นรก ๑๙ ขุม สวรรค์ ๑๕ ชั้น แบ่งเป็นพรหม ๔ ชั้น คือ โลกรูปพรหม อรูปพรหม กึ่งพรหม กึ่งเทวะ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่เหนือเรื่องประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้อาตมาก็ไม่อยากจะพูดมากเพราะยิ่งพูดไป มันจะยิ่งสร้างเรื่องกลายเป็นนิยายไป และยิ่งปวดหัวกันมากขึ้น คือว่า เวลานี้มนุษย์ปัจจุบันถือว่าตนเลิศแล้ว ตนแน่แล้ว แต่ส่วนมากไม่รู้พื้นกำเนิดของตนว่า ตนนั้นเกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นขอให้มนุษย์ทั้งหลายจงสังวรเอาไว้ด้วยว่า สิ่งที่ตนยังไม่รู้ ไม่ได้ศึกษา อย่าด่วนลงความเห็น กาลเวลาต่อมา เหล่าวิญญาณทั้งหลายที่มาเกิดในโลกมนุษย์แล้วดับไปอยู่โลกวิญญาณ ต่างเห็นควรวางกฎเกณฑ์กันขึ้น จึงได้สร้างหลักแห่งมติ ๓ โลกขึ้นว่า โลกมนุษย์นี้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย เรียกว่าพูดด้วยภาษาไม่ค่อยรู้เรื่อง มันจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่จะสำเร็จจะต้องมาสำเร็จในโลกนี้ คือจะต้องมาเกิด ดวงวิญญาณทุกๆ ดวง จะต้องมาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อต่อต้านกับดวงดาวในสถานที่นี้ ให้ชนะอารมณ์แห่งนรกสวรรค์ ๓๓ ชั้นไปสู่แดนอรหันต์ จึงเกิดโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมา คือ แดนพระโพธิสัตว์และแดนอรหันต์ เมื่อบำเพ็ญถึง คือวิญญาณอยู่ในกายอมตะ กายอมตะมาสู่การปฎิสนธิ แล้วมาเติบโตตามพืชพันธุ์ธรรมชาติแห่งดวงดาว กลายเป็นมีสังขารหรือเรียกว่ามนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์เสร็จแล้ว ให้ขัดเกลากลับไปๆ สู่การเป็นดวงวิญญาณอมตะนั้นให้ได้เท่าที่จะทำได้ จึงเกิดแดนอรหันต์ขึ้นเพราะฉะนั้น ผู้ที่เถียงกันอยู่ในโลกมนุษย์ทุกวันนี้ว่า พระเจ้า ๆ นั้น ก็คือ เรื่องของโลกวิญญาณนั่นเอง สิ่งหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ไม่ยอมพูดถึงก็คือ ผู้ที่เหนือพระเจ้า เหนือพระเยซูคริสต์ ก็คือ เรื่องของโลกวิญญาณ มะหะหมัดผู้เป็นจอมศาสดาแห่งศาสนาอิสลามก็ไม่ยอมพูดถึง เพราะเรื่องของวิญญาณนี้ในมติ ๓ โลก องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ใคร่ยอมพูดถึงในเรื่องโลกหน้า เพียงแต่ให้รู้เรื่องในโลกนี้ โลกหน้ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดศึกษากันยาก เพราะฉะนั้นองค์ศาสดาของศาสนาใดก็แล้วแต่ ล้วนแต่เกิดจากตัวอยากตัวเดียว ของวิญญาณกลุ่มแรก ทำให้ต้องมาเกิดกัน ๆ ไปปนกันจนโลกแห่งวัฎจักรสงสารชาติภพนับกันไม่ถ้วน แต่ว่ามติ ๓ โลก คือ เหล่าวิญญาณผู้บำเพ็ญแล้วรู้กันด้วยอำนาจแห่งธรรมชาติ ไม่ใช่รู้กันด้วยอำนาจธรรมเวลานี้เรื่องของพระเจ้านั้น อาตมาจะขอชี้แจงให้กระจ่างกวานี้ว่ามติ ๓ โลกยังคงต้องรับคำบัญชาจากดวงวิญญาณอีก ๑๙ ดวงที่ไม่เคยจุติมาในโลกมนุษย์ นั่นคือผู้บัญชาการชั้นสูงของโลกมนุษย์ ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นเหล่าวิญญาณบริสุทธิ์หรือธรรมชาติแห่งรู้จริง ไม่ได้มาถูกปรุงแต่งของดวงดาวนี้ ที่เรียกว่าดวงโลกของมนุษย์ ท่านเหล่านั้นอยู่เหนือสุญตา ซึ่งอธิบายให้เข้าใจได้ยาก มันเป็นภาษาธรรมสู่แนวธรรมชาติที่แท้จริง สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดจากความ “อยาก” ตัวเดียว สร้างให้ปั่นป่วนขึ้นมา กลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา มาพูดกันถึงเรื่องของโลกมนุษย์ต่อดีกว่า เวลานี้โลกมนุษย์ยุ่งเหยิงเถียงกันอยู่ว่าศาสนานี้ดี ศาสนาโน้นดี วิทยาศาสตร์นั้นดี นั้นก้าวหน้ากว่า อาตมภาพว่า ปรัชญาก็ดี ศาสนาก็ดี ลัทธิก็ดี เกิดจากอะไรเล่าท่าน เกิดจากจิต เพราะฉะนั้นจิตประสาทเหนือกว่า จิตคือตัวธรรมชาติ รู้การปรุงแต่งของวิชาและอวิชาคือ ระยะแรกแห่งการเป็นมนุษย์ ต่อมาจนไม่รู้ภพรู้ชาติ จึงได้มีกฎกำเนิดของมติ ๓ โลกขึ้นว่า ต่อแต่นี้ไปมนุษย์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎสงสาร จนกว่าจะสู่แดนอรหันต์ วาระสุดท้ายของวิญญาณที่จะออกจากโลกมนุษย์ไปสู่จุดแห่งสุญตา คือนิพพานเป็นจุดว่างที่สุด สงบที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด ไม่รับรู้สภาพอันนั้นและจะไม่มาเกิด นั่นคือ โลกแห่งวิญญาณนิพพานก็อุบัติขึ้น ทีนี้จะพูดต่อไปถึงคำว่าวิญญาณนี้เป็นอะไร วิญญาณเป็นสิ่งที่ละเอียดที่สุด ถ้าจะพูดง่ายๆ เปรียบเทียบในภาษาของมนุษย์ ก็คือแก่นของมันคือวิญญาณ แก่นอะไรเล่า เช่นเขาบอกว่ามีน้ำหอม หัวน้ำหอมนั้นแหละคือวิญญาณสังขาร คือการปรุงแต่ง เรื่องเหล่านี้พูดกันไปเถียงกันไปมันก็ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าโคดมจึงพยายามไม่พูดถึงตาจะพยายามสอนให้มนุษย์รู้ว่าโลกนี้มีจริง กุศลกรรมมีจริง อกุศลกรรมมีจริง วัฎสงสารมีจริง วิญญาณมีจริง แต่ท่านจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ต่อเมื่อปฏิบัติในหลักแห่งวิปัสสนากรรมฐาน คือ ทำจิตให้สู่แนวธรรมชาติ ให้กลับกลายเข้าสู่จุดแห่งวิญญาณจุดแรกที่มาเกิด แล้วท่านจะรู้สิ่งต่างๆ แต่ทีนี้มนุษย์ยังสงสัยอยู่ว่าเพื่อนเราตายไปทำไมไม่มาบอกให้รู้เล่าว่าตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน คือว่าสภาวะของวิญญาณนั้นเป็นสสารที่ละเอียดลออมากทีเดียว ยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น เมื่อกายเราไม่บริสุทธิ์ จิตเราไม่บริสุทธิ์ อารมณ์จิตเราฟุ้งซ่าน วิญญาณที่ไปก็ไม่สามารถเข้าใกล้เราได้ เพราะอะไรเล่า วิญญาณเหล่านี้จะใกล้ต่อเมื่อจิตของมนุษย์ไปสู่แนวของธรรมชาติ คือว่า วิญญาณนั้นเปรียบง่ายๆ เปรียบเหมือนน้ำ วิญญาณที่จะมาติดต่อกับเราต่อเมื่อเราทำจิตให้นิ่งเหมือนน้ำ ไม่ใช่เต้นเหมือนน้ำมัน น้ำกับน้ำมันย่อมเข้ากันไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครจับกำน้ำขึ้นมาว่านี่น้ำ อาตมภาพก็จะชี้ว่านี่แหละวิญญาณ เพราะอะไรเล่าก็เพราะว่าน้ำนั้น เราเห็นแต่เราจับมันกำขึ้นมาไม่ได้ นี่อาตมาภาพหมายถึงน้ำตามธรรมชาติของมัน เรื่องของวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดลออ แต่ทีนี้มนุษย์มีข้อสงสัยอยู่ว่าแล้วทำไมบางคนเห็นผี บางคนเห็นเทวดา บางคนเห็นโน่น เห็นนี่ หลักความจริงของธรรมชาติของเหล่าวิญญาณทั้งหลายมีพลังอยู่อย่างหนึ่งให้เขาใช้คือเขาจะมาสารถรวมพลังให้เป็นตัวตนขึ้น คือตัวอันบริสุทธิ์คือจิตของวิญญาณนั้น ตั้งแน่วแน่ในกาย เรียกว่ากายในกายรวมพลังว่าข้านี้ต้องการให้ผู้นี้เห็นก็สามารถรวมขึ้นมาได้ ถ้าผู้นั้นปฏิบัติสู่แนวธรรมชาติหรือในหลังของพระพุทธเจ้า ศาสนาเราเรียกว่าจิตได้ณาน เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหลายแหล่มันมีการมาและการไปของมัน เราเป็นมนุษย์ เรายังไม่เข้าใจการเป็นอยู่ของโลกวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ปัจจุบันนี้ถือว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเหลวไหล เพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ปัจจุบันนี้ถูกตัวโมหะครอบงำ ตัวหลงครอบงำ คือทิฐิมานะหลงอยู่ในกามคุณไม่ยอมเข้าไปศึกษาในเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ปัจจุบันชอบอ้างตำรา และติดอาจารย์ จนไม่ยอมเป็นตัวของตัวเอง เข้าไปค้นสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่อาตมาภาพอยากถามว่าตำรานั้นน่ะมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตำรานั้นมันมีมากี่ปี เอาแต่เพียงว่ามนุษย์ก่อนประวัติสาสตร์ ๔๐๐๐ ปี ลองไปคนดูซิว่ามนุษย์กลุ่มแรกที่เกิดมาอยู่ในโลกนี้อยู่ที่ไหน วิญญาณกลุ่มแรกที่จุติมาในโลกมนุษย์นี้มาที่ไหนก่อน พวกนักตำราทั้งหลายค้นให้อาตมาที แต่ฉันใดก็ดี อาตมาภาพจะขอบอกไว้ว่า วิญญาณกลุ่มแรกที่มาจุตินั้นจุติในทีปเอเชียนี่เอง คือเกิดในพื้นภาคมองโกเลีย ประเทศจีน เป้นกลุ่มแรก กลุ่มที่สอง จุติมาในโลกอาหรับ คือ อิสราเอล ในปัจจุบันมนุษย์เหล่านี้ก็ได้แผ่ขยายไปจนทั่วพิภพนี้ ที่ไหนมีที่ก็ไปอยู่กัน เกิดจากการแย่งกันกิน ไม่มีที่อยู่อาศัยกันนั่นเอง เพราะเหล่าวิญญาณมันถือว่ามาเกิดในโลกมนุษย์นี่มันแสนสนุก มีทั้งทุกข์และสุขก็เลยแย่งกันมาเกิดใหญ่ เลยทำให้มนุษย์เกิดกันมากขึ้นๆ จนเกิดมติขึ้นมา มีมติ ๓ โลก คือ พรหมโลก เทวโลก นรกโลก ขึ้นมา ณ บัดนั้น ยิ่งพูดกันไปมันยิ่งยุ่งกันใหญ่ เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของธรรม ภาษาธรรมย่อมใช้ภาษาของมนุษย์ไม่ได้ แบบน้ำพูดภาษาของน้ำ ที่เราเรียกว่า คนก็พูดภาษาคน สมมุติภาษาไทย เราเรียกว่า ภาษาไทย สมมุติฝรั่งมันก็คุยกันเป็นภาษาฝรั่ง ทีนี้จะมาภาษาของเรื่องโลกวิญญาณเขาก็มีภาษาของเขาใช้ เพราะที่โลกมนุษย์มรหลายภาษาใช้นั้น อาตมภาพก็ไม่เห็นแปลกที่ตรงไหน เพราะวิญญาณแต่ละกลุ่มเขาก็มีภาษาของเขาใช้โดยเฉพาะ อนุสัยเดิมย่อมติดมาบ้าง พื้นธรรมชาติมันปรุงแต่งของมันเอง การเข้ามาเป็นมนุษย์นี้ เรื่องกายในกายมันเล็กละเอียดมาก วิญญาณอยู่ สังขารมันก็เคลื่อนไหวไปได้ วิญญาณถึงวาระแห่งการไปมันก็ไม่มีอะไร เสมือนหนึ่งกลไกที่มนุษย์เขาเรียกกันว่า รถยนต์ เรือ หรืออะไรก็ได้ มันจำเป็นต้องมีไฟเป็นจุดแรก ไฟทำให้มันเดิน ถ้าขาดไฟแล้ว รถทั้งคันมันก็เดินไม่ได้ เรือทั้งลำก็แล่นไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหลาย อาตมภาพก็ไม่อยากพูดอะไรต่อไปอีก คือ ยิ่งคุยมันยิ่งไม่รู้เรื่อง เรามาพูดถึงเรื่องพุทธศาสนาดีกว่า ทำไมพุทธศาสนาจึงอยู่ยงในกรุงสยาม และทำไมพระพุทธเจ้าจึงชอบพูดเรื่องชมพูทวีป ทุกวันนี้มนุษย์เข้าใจว่า เพียงแต่เพราะประเทศอินเดียเท่านั้น ที่เรียกว่าชมพูทวีป ตามหลักความจริงแล้วสมัยโน้นสร้างโลกใหม่ๆ โลกมนุษย์นี้มันเป็นพื้นพืดติดต่อกันหมด ยังไม่มีทวีปภูเขาทะเลหรอก เรียกว่าอินเดียเดินมาถึงกรุงสยามสบายๆ กาลเวลาต่อมาศาสนาพุทธได้เสื่อมจากอินเดียนั้น เพราะเหตุ ๓ ประการ คือ วิธีการสอนขององค์สมณโคดมค้นพบตัวพุธทะ คือตัวรู้อันบริสุทธิ์เข้าสู่แนวธรรมชาติของกายในกายที่แท้จริงจนเกินไป แทบว่าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้ามีพืชพันธุ์แห่งการเป็นมนุษย์นั้นเพียงแต่ภายนอกที่คนอื่นเห็น ส่วนการแสดงออกนั้นเป็นการแสดงออกของโลกวิญญาณ จึงไม่ยกตนข่มท่าน การแสดงเทศนาใดๆ ก็ดี จะพยายามให้ผู้ฟังใช้สัญชาตญาณของตัวเองพิจารณาคิดค้นเหตุผลแล้วจึงให้เชื่อ เมื่อแสดงจบแล้วพระองค์ชอบพูดคำคำหนึ่ง คือ การเทศนาของตถาคตนี้ ท่านอย่าเพิ่งเชื่อ ขอให้ท่านพิจารณาไตรตรอง ให้ท่านคิดเข้าไปให้ถึงก่อนแล้วจึงเชื่อเรียกว่าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าโคดม ประกาศในเรื่องลี้ลับออกมาแล้วว่า สิ่งนี้ให้ทุกคนค้นเข้าไปถึงนิสัยเดิมของตัวเอง สรุปแล้วศาสนาพุทธเสื่อมจากอินเดีย คือ ๑. องค์สมณโคดมประกาศศาสนาไม่เหมือนสาสนาอื่น ๒. ไม่มีการบังคับว่าต้องเชื่อ ๓. ตามใจมนุษย์ทุกคนจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ ผิดจากพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา เป็นเทวะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๓ มาเกิดเพราะว่าสมัยนั้นจะเกิดจากกลียุคขึ้นในภาคตะวันตกของโลกมนุษย์ ทางโลกวิญญาณจึงมีมติให้พระเยซูคริสต์ลงจุติมาในโลกมนุษย์ ให้มายกระดับจิตใจมนุษย์ ให้มาอธิบายชี้แจงอะไรบางอย่างให้มนุษย์รู้เรื่องบุญบาป จากการสืบพันธุ์ของการเป็นมนุษย์นั้น ธรรมชาติของมนุษย์ทำให้เยซูค้นเข้าไปสู่หลักธรรมยังไม่ละเอียด จึงทำให้พระเยซูคริสต์ติดตัวตนขึ้น ยกยองตัวเป็นบุตรของพระเจ้ามะหะหมัดก็ดี มะหะหมัดเป็นเทวทูตชั้นที่ ๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางโลกวิญญาณเขามีมติให้มาปราบยุคเข็ญ คือ ให้มาฆ่าวิญญาณที่เลวร้าย พวกอสุรกาย เพราะฉะนั้น ถ้าท่านศึกษาเข้าไปถึงหลักของศาสนา มะหะหมัดหรือเรียกว่า ศาสนาอิสลาม ในคัมภีร์กุระอาน หรือโกหร่านแล้ว ศาสนาอิสลามจะเต็มไปด้วยเรื่องของการฆ่า แต่มะหะหมัดถูกกำหนดลงมาเพื่อปราบวิญญาณที่ชั่วช้า ให้มันเสร็จสิ้นไปเป็นยุคๆ เพราะฉะนั้น อาตมภาพจึงอยากจะขอให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย อย่าทะเลาะวิวาทกันถึงเรื่องศาสนาเลยในโลกมนุษย์เหล่าสานุศิษย์ของบรมศาสดาต่างๆ เถียงกันหน้าดำหน้าแดงแต่ในโลกวิญญาณ องค์สมณโคดม องค์เยซูคริสต์ องค์มะหะหมัด ท่านทั้งสามพบกันทุกวันๆ ประชุมกันทุกๆ วินาที เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ อาตมภาพจะให้ทราบไว้ว่า เมื่อโลกถึงอีกห้าพันปี โลกมนุษย์นี้จะแตกสลายกลายเป็นน้ำอย่างเก่า การอ่านธรรมะเรื่องนี้ จะต้องอ่านหลายๆ ครั้ง หลายๆ เที่ยว และจะต้องใช้สมองของการเป็นมนุษย์พิจารณาตีข้อธรรมะในนี้ให้แตกด้วย ขอให้มนุษย์ที่อ่านแล้ว จงยุติการเกลียดชังศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เทอญ
เจริญพร
(อ้างอิงจาก หนังสือโอวาทจากดวงพระวิญญาณบริสุทธิ์สมเด็จโต .โอวาท ๑, เรื่อง กัณฑ์เปิดโลก, หน้า๒๖-๓๙)

Address

๔๐ หมู่ ๒ ต. พุสวรรค์ อ. แก่งกระจาน จ. เพชรบุรี
Kaeng Krachan Phetchaburi
๗๖๑๗๐

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when พระแม่กวนอิมพันเนตรพันกร องค์สูงใหญ่ที่สุดในโลก จังหวัดเพชรบุรี posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Travel Agency?

Share