mini TABI

mini TABI mini TABI • maxi MEMO

วันนี้ขอเสนอคำว่า 御朱印 โกะฉุอิน แปลว่า ตราประทับประจำศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นจะมีฮอบบี้การสะสมตราศาลเจ้า (เหมือนกันพวกตราปั๊มสถา...
03/02/2024

วันนี้ขอเสนอคำว่า 御朱印 โกะฉุอิน แปลว่า ตราประทับประจำศาลเจ้า

ที่ญี่ปุ่นจะมีฮอบบี้การสะสมตราศาลเจ้า (เหมือนกันพวกตราปั๊มสถานีรถไฟแหละ) แต่ความพิเศษก็คือ มันจะเป็นการเขียนด้วยพู่กัน (เกือบ) ทั้งหมด

วันนี้ ด้วยความที่เป็นปีใหม่ด้วย เลยตั้งใจจะไปเสี่ยงเซียมซีวัดเซนโซจิ เพราะส่วนตัวรู้สึกว่าแม่น (มีภาษาอังกฤษด้วย) ก็เลยคิดว่า หน้าแรกของสมุดโกะฉุอิน หรือที่เรียกว่าโกะฉุอินโจเนี่ย จะต้องเป็นของวัดนี้

แต่ว่ามันก็เหมือนเครื่องรางที่ขายตามวัด สิ่งนี้ไม่ฟรีนะคะ ราคา 500 เยน ต้องเตรียมเงินให้พอดีด้วย เป็นมารยาท (แบบใดห์)

สำหรับวัดเซนโซจิจะมีจุดรับแยกกับส่วนที่ขายเครื่องราง มีป้ายบอกทางตลอด มันตะอยู่ทางซ้ายมือของที่ไหว้ข้างในสุด

วิธีการรับก็คือไปต่อแถว จ่ายเงิน แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราเลือกหน้าที่จะให้เขียนแล้วคั่นไว้ พร้อมให้หมายเลขคิว จากนั้นเขาก็จะส่งต่อไปให้นักเขียนพู่กันด้านใน (บริเวณนี้ห้ามถ่ายรูป เพราะมีส่วนของพระพุทธรูปและโซนสวดมนต์ด้วย)

ปกติเวลาไปรับโกะฉุอิน เราต้องเปิดหน้าที่จะให้เขียนยื่นไปเลย เพื่อป้องกันความผิดพลาด เพราะว่าตัวสมุดเนี่ย มันจะพับเป็นทบแบบพับพัดอ่ะ ละบางคนจะเขียนหน้าเดียว บางคนก็ให้เขียนหน้าหลัง บางคนตั้งใจเรียงวัดแบบต่าง ๆ ก็มี เพราะคนญี่ปุ่นหลายคนจะตั้งใจให้หน้าแรกเป็นตราประทับของศาลเจ้าอิเสะ ที่อยู่จังหวัดมิเอะ เพราะเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าอามะเทราสึ เทพีดวงอาทิตย์ผู้ก่อตั้งประเทศญี่ปุ่น แล้วก็เป็นเหมือนต้นแบบของศาลเจ้าทั่วประเทศด้วย

สรุปกลับเข้าเรื่อง ความเด๋อของนี่ ก็เปิดหน้ายื่นสมุดใหม่เอี่ยมไปให้เค้า แล้วเค้าก็ถามว่าเล่มใหม่ใช่ไหม ปกติถ้าเป็นเล่มใหม่เขาจะเขียนจากหน้านี้นะ *แล้วก็พลิกสมุดกลับด้าน*

อ๋อ ญี่ปุ่นเขียนจากข้างหลังมาข้างหน้า 55555 ชั้นก็เลยบอกเค้าว่า เอาแบบนั้นแหละค่ะ แล้วก็ได้บัตรคิวเลข 32 มา ใครจะไปซื้อเลขตามมั้ย55555

ลายของวัดเซนโซจิมีสองแบบ เหมือนเขียนชื่อคนละเทพอ่ะ นี่เลือกมาอันเดียว เพราะมันแพง 5555 คือเทพ 大黒天 ไดโคคุเทน ว่ากันว่าเป็นร่างอวตารของพระศิวะ (งงป่ะ มันเชื่อมกันยังไง5555) แต่ว่าร่างท่านจะอวบอ้วน ไม่ก็มีถุงทอง เลยถือเป็นเทพแห่งความโชคดี การค้า ส่วนอีกเทพคือ 聖観世音 โชคันเสะอง เป็นหนึ่งในเจ็ดคันนอน ซึ่งก็คือเจ้าแม่กวนอิม อวโลกิเตศวร

ญี่ปุ่นคือ master of พหุวัฒนธรรมสุด ๆ

เอาล่ะ ยืนรอเกือบสิบนาทีก็ถึงคิวเรา รับสมุดคืน เค้าจะใส่กระดาษบาง ๆ กันหมึกซึมมาให้ด้วย ใส่ใจสมเป็นญี่ปุ่น

ก่อนหน้านี้พูดไปว่าเขียนด้วยพู่กันใช่ไหม แต่ว่าสมัยนี้ก็มีบางวัดที่ขายเป็นแผ่นกระดาษ แล้วก็จะมีลวดลายสวยงามต่าง ๆ

อย่างศาลเจ้าที่สองที่ไป คือ 烏森 คาราสึโมริ อยู่แถวชิมบาชิ ตอนไปไม่ได้คิดไรมาก เป็นทางผ่านไปร้านหนังสือเฉย ๆ สรุปว่าคนเยอะมาก วัดมีพิธีสะเดาะเคราะห์รับปีใหม่ เลยได้เห็นว่าคนญี่ปุ่นก็มูเยอะเหมือนกัน มันอะเมซิ่งมากแต่ถ่ายรูปไม่ได้ คือมีพระ มีเจ้าหน้าแต่งตัวแบบจัดเต็ม มามอบชุดแพคเกจโชคดีปีใหม่ซัมติง แล้วก็มีทำพิธีสั่นกระดิ่งปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย แต่นี่เข้าไปไหว้พระขอพรอย่างเดียว แล้วก็เลยไปต่อแถวรับตราประทับ

ปรากฏว่าที่นี่เป็นแบบเขียนมาแล้ว (แต่ 500 เยนเหมือนกันนะ) แบบนี้จะเรียกว่า 書き置き คาคิโอคิ แปลตรงตัวก็คือเขียนเตรียมไว้แล้ว เริ่มมีขึ้นช่วงโควิดที่ไม่ให้คนมารวมตัวกันแหละ แล้วก็มีมาเรื่อย ๆ สำหรับวัดเล็ก ๆ ที่ไม่มีที่ ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะเหลือลายเดียว อีกลายเป็น 期間限定 ของช่วงปีใหม่ แต่หมดแล้ว

แต่ว่าที่นี่อ่ะ พอซื้อโกะฉุอินแล้วแถมเครื่องราง お守り โอะมะโมริ กับชาของวัดด้วย ทำดีทำถึงเกิน

มาถึงอย่างสุดท้าย สิ่งที่เรียกว่า 限定 ฟีล ๆ seasonal limited edition ส่วนใหญ่จะหรูหราว่าปกติ เขียนด้วยทองมั่ง เป็นกระดาษฉลุบ้าง ขนาดใหญ่เป็นแนวนอนบ้าง ซึ่งมันน่ารักมาก บางวัดก็ไม่มี ส่วนใหญ่จะมาช่วงปีใหม่ หรือถ้าวัดไหนดังเรื่องความรักก็อาจจะมีคอลวาเลนไทน์ หรือสัตว์มงคล หรือซากุระ ไว้จะมาอัพเดตให้ เพราะมันกลายเป็นฮอบบี้ใหม่ของนี่ไปละ ใครคิดจะมาญี่ปุ่นบ่อย ๆ ก็อย่าลืมแวะมาเก็บได้ สมุดโกะฉุอินมีขายตามวัดเลย หรือซื้อร้านเครื่องเขียนก็ได้ ราคาประมาณ 1000 เยน แต่ปกจะเบสิค ๆ หน่อย พอดีเป็นคนตอแหละเลยเอาแบบปกสวย 2200 เยนไปเลย ทำเหมือนรวยอ่ะ

ขอทิ้งท้ายอีกอย่าง คือการไป ศาลเจ้า hopping หรือที่เรียกว่า 神社巡り/御朱印巡り เนี่ย จริง ๆ เค้าไม่แนะนำให้ไปหลายศาลเจ้าในวันเดียว เพราะ

1. เราจะไม่ได้ไปด้วยใจจะไหว้บูชา แต่ไปเอาสนุก

2. เค้าบอกว่าไม่ใช่ทุกคนจะไปศาลเจ้าด้วยจิตแจ่มใส บางคนไปเพราะทุกข์ แล้วเราอาจจะไปรับพลังงานลบ ๆ มาได้

ซึ่งตอนแรกนี่ก็กลัวข้อสองนิดหน่อย ก็เลยลองเปิดปฏิทิน 六曜 ฟีล ๆ ปฏิทินฤกษ์ของญี่ปุ่น ที่จะแบบลำดับความดีของวันเป็นหกเลเวล ปรากฏว่า วันนี้เป็นวัน 大安 ก็คือวันดีที่สุด ปลอดภัยทั้งวัน ก็เลยเดาเอาเองว่าไปได้แหละ 555555

จริง ๆ คนญี่ปุ่นก็มีความเชื่อมู ๆ เยอะนะ เช่นไม่ให้ไปศาลเจ้าในวันที่ไม่ดี เพราะอาจจะมีพลังงานลบเยอะ ไม่ให้ผู้หญิงำปตอนเมนส์มา อะไรแบบนี้ด้วย แต่แน่นอน คนรุ่นใหม่ไม่สนใจละ

นี่ว่าอาทิตย์หน้าก็จะไปอีก เพราะศาลเจ้าที่ชอบเปิดคอลเลคชั่นใหม่ ขายเสาร์หน้าวันแรก อิอิ

ใครหาอะไรทำหรือนับเป็นฟีลของที่ระลึกก็มาซื้อกลับไปได้ แนะนำมาก ๆ

ติดแท็กแบบอินฟลูสาวท่านหนึ่ง #เที่ยวญี่ปุ่น #รีวิวญี่ปุ่น

ทริปแรกของปี 2024 คือทริปที่ทำลาย new year resolutions อย่างย่อยยับคือตอนปีใหม่ 2024 ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะไม่เที่ยวต่างประ...
02/02/2024

ทริปแรกของปี 2024 คือทริปที่ทำลาย new year resolutions อย่างย่อยยับ

คือตอนปีใหม่ 2024 ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะไม่เที่ยวต่างประเทศเลยเพราะจะเก็บเงิน แต่เพราะความเครียดก็ทำให้มือลั่นจองตั๋วเครื่องบิน ไม่มีวันหยุดแล้ว แต่อยากไปเดี๋ยวนี้ก็เลยต้องหาประเทศที่บินเสาร์-อาทิตย์ได้ ตอนแรกเล็งเกาหลีไว้แต่ว่าเพิ่งไปมาตอนตุลา กลัวตม.จะปัญญาอ่อนก็เลยยังไม่กล้าเข้าซ้ำ ไต้หวันก็ไม่ชอบ สรุปได้ไปฮ่องกง

เป็นฮ่องกงครั้งแรกในชีวิต ไม่นับเปลี่ยนเครื่อง

ความจริงตั้งใจเลือกประเทศที่คิดว่าน่าจะอากาศร้อนด้วยเพราะว่าทนอากาศหนาวหนาวฝนของญี่ปุ่นไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าจะเป็นซึมเศร้าในไม่ช้า ปรากฏว่าดันเป็นช่วงที่อากาศหนาวแบบหนาวเท่าญี่ปุ่นเลย ฝนตกอีกต่างหาก สรุปก็คือไม่โดนแดด ไม่ได้วิตามินดีใด ๆ แต่อย่างน้อยสุขภาพจิตก็ดีขึ้นมาก

อาจจะดีเพราะว่าได้กินเสี่ยวหลงเปาทอดก็เป็นได้55555

เป็นคนชอบเสี่ยวหลงเปาทอดอยู่แล้ว โชคดีว่าใกล้ ๆ โรงแรมมีร้านมิชลินอยู่ก็เลยไปกิน ตอนไปก็งง ๆ เหมือนกันเพราะไม่มีคนเลย แต่ก็ดีไม่ต้องต่อแถว เสร็จแล้วก็มายืนกินตรงเคาน์เตอร์หน้าร้าน ซึางตรงนี้ขยะเยอะมาก คนที่กินก่อนหน้ากินเสร็จก็วางไว้ไม่เอาไปทิ้ง (ทั้งที่มีป้ายภาษาอังกฤษนะว่าห้ามทิ้ง) แต่นี่ก็หาที่วางหลบ ๆ มุมตัวเองแล้วกิน

จากนั้นป้าพนักงานก็เดินมาเก็บขยะกับทำความสะอาดโต๊ะให้ แล้วก็พยาสามบอกเป็นภาษาจีนว่าห้ามทิ้งนะ ให้ไปทิ้งที่ขยะข้างใน ชั้นก็โอเค ๆ ป้าก็ แต๊งกิ้ว ๆ

แต่หลังจากมันสะอาดนั่นแหละเทอ คนมหาศาล มาจากไหนก็ไม่รู้มาถ่ายรูป มาต่อคิวซื้อ โชคดีมากนี่ไม่ต้องเบียดกับใครเพราะมีที่แล้ว ฟริน

เมนูมีหลายอย่าง แต่ชอบรสหมูหม่าล่าสุด ไม่ต้องปรุงไรเลย เผ็ดกำลังดี ไม่แน่ใจคิดไปเองมั้ยแต่สาขาจิมซาจุ่ยให้ใส้เยอะกว่าสาขาหว่านไจ๋ (ใช่ค่ะ ดิชั้นตามไปกินสาขาอื่นด้วยเพราะชอบมาก55555)

กะว่าทริปนี้จะเน้นไหว้พระกับกินชิว ๆ ตั้งใจมาไหว้เจเาแม่กวนอิมที่วัดทินหัว Repulse bay ลงเครื่องมาก็เอาเลยจ้า เดินตามรีวิวจะไปขึ้นรถเมล์ แต่หาป้ายไม่เจอเลยถามยาม ยามก็หยิบกูเกิลทรานสเลตมาแปลเพราะไม่รู้ว่า Repulse bay ชื่อจีนคืออะไร แต่พอรู้แล้วก็แนะนำเป็นภาษาอังกฤษเป็นฉาก ๆ เลย ข้ามสะพานนี้นะ เดินชิดขวา เบี้ยวขวาเจ้าตึกนี้แล้วลงไปข้างล่าง นั่งรถเมล์สาย 60 หรือ 6x ก็ได้ ปิดท้ายด้วยบ๊ายบายจ้า น่ารักมาก เฟรนด์ลี่ที่สุด

จำราคารถเมล์ไม่ได้ น่าจะประมาณ 8 เหรียญ แตะบัตร Octopus ไป ขึ้นที่ Central ไปลง Repulse bay ประมาณ 30-40 นาที มีขึ้นทางด่วนด้วย แต่คนขับขับค่อนข้างดี เร็วแต่ไม่ระทึก (ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะว่ารถเมล์ขากลับอ่ะระทึก55555)

รถเมล์ที่นี่มีสองชั้น ใครอยากดูวิวก็ขึ้นชั้นสองเลย แนะนำนั่งฝั่งขวา จะเห็นวิวเยอะกว่า ผ่านทะเลยาว ๆ ด้วย (กุนั่งซ้าย จบ55555) นั่งหน้า ๆ หน่อยไว้ดูป้ายว่าสถานีต่อไปคืออะไร ถ้าจะลงก็กดปุ่มคล้าย ๆ ญี่ปุ่น แต่ถ้านั่งชั้นสองต้องเตรียมตัวลุกเร็วหน่อย เพราะคนขับดูจะไม่รอถ้าช้า

พอถึงก็เดิน ๆ ตามคนอื่นเลียบหาดไปจนสุดหาด จะเจอวัดทินหัวและเจอคนไทย 99% มีแต่เสียงคนไทย มีป้ายคำสวดมนต์ภาษาไทยเลย หลัก ๆ มีเจ้าแม่กวนอิมกับเจ้าแม่ทับทิม เขาเชื่อกันว่าเดินเข้าวัดให้ก้าวเท้าซ้ายเข้า แล้วออกเท้าขวา อ่านมาก่อนแต่พอถึงวันจริงลืม อาศัยว่าคุ้น ๆ เอาโชคดีที่ทำถูก

นอกจากนี้ยังมีสะพานอายุยืนให้เดินข้ามไปแล้วก็อย่าเดินย้อนกลับมา เชื่อกันว่าข้ามหนึ่งรอบจะอายุยืนขึ้นสามปี อันนี้เพิ่งมาอ่านเจอทีหลัง แล้วก็โชคดีเช่นกันที่ขึ้นไปถ่ายรูปกลางสะพานแล้วไม่เดินย้อนลงมา ไม่งั้นอาจจะตุยได้555555

สุดท้ายมีรูปปั้นปลาอ้าปาก ฟีลแบบปลาช่อนสิงห์บุรีหนึ่งตัว เชื่อกันว่าถ้าโยนเหรียญขึ้นไปเข้าปากปลาได้คำอธิษฐานเป็นจริง นี่เห็นคนไทยยืนโยนเล่นกันฉ่ำ แต่พอดีไม่มีเหรียญก็เลยไม่ได้เล่นด้วย

หลังจากนั้นก็นั่งรถเมล์กลับที่เดิมเพื่อที่จะกลับโรงแรม คราวนี้แหละโอ้โหคนขับขับแบบเหวี่ยงมาก ลองจินตนาการว่าแบบมันขึ้นบนเขาบนเนินนิดนึง แล้วขับ เหมือนไม่กลัวตาย ผู้ชายยังยืนทรงตัวกันไม่ค่อยจะอยู่ ส่วนคนตัวเหลวอย่างชั้นคือนั่งเกาะพนักเก้าอี้แบบจิกตรีน เกร็งกิเดส

แต่สุดท้ายก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ

ตอนเย็นออกมาเดินเล่นหาของกินในจิมซาจุ่ย แล้วกะจะเลยไปดูโชว์ริมอ่าววิคตอเรีย สรุปฝนตกจ่ะ เดินหาร้านข้าวกินเพื่อหลบฝนก่อน มาจบที่ร้านชื่อไรไม่รู้แต่คนไทยมาเยอะจนมีเมนูภาษาไทย พนักงานพูดไทยได่นิดหน่อย ร้านที่หม่อมปนะนำนั่นแหละ ส่วนตัวไม่ค่อยโดน เกี๊ยวอร่อย อย่างอื่นเฉย ๆ ไม่มีใครโค่นเสี่ยวหลงเปาที่ชั้นรักได้

วันต่อมาไปวัดหวังต้าเซียนก่อน เดินวนหาวัดอยู่นาน ออกผิดประตูคือชีวิตเปลี่ยนเลย เพราะถนนใหญ่ไม่มีที่ให้ข้ามกลับ ต้องลอดใต้ MTR กลับไป แต่วัดสวยมาก โชคดีที่ไปช่วงที่มีสวดทำพิธี เลยได้เห็นพระ (?) ออกมาเดินข้างนอกและสวดมนต์ไปด้วย

หลังจากนั้นก็หาไรกินและไปสนามบิน จบทริปฮ่องกง 24 ชม. ไม่รวมเวลานอน55555

สรุปค่าใช้จ่าย
ตั๋วเครื่องบิน 13,000 thb
โรงแรม 2,000 thb
บัตร Octopus 150 hkd (มีเงินในบัตรใช้ได้ 111 hkd)
Airport express 2 เที่ยว 230 hkd
ค่าของกินสองวัน 4 มื้อหลัก ขนมของว่าง ของกุ๊กกิ๊ก รวมแล้ว 640 hkd

จะบอกว่าของแพงมากกกก ชานมแก้วละ 30 เหรียญ ข้าวจานเดียว 50-100 เหรียญ นี่คือร้านข้างทาง นอกห้าง ติ่มซำก็ราคาพอ ๆ กัน มีค่าโดยสาร public transportation ที่ราคาดี MTR ประมาณ 3-4 เหรียญ รถเมล์ประมาณ 8 เหรียญ (ราคาเหมา แล้วแต่สาย บางสายก็ตามระยะทาง)

Anyway เป็นทริปที่เกิดอย่างปุบปับเพราะนอยอะไรไม่รู้ พอกลับมาสองสามวันก็เมนส์มาเลย ก็คือ PMS trip 5555555

เซนไดเซนใจ ทริปเก่าตั้งแต่ปี 2023จุดเริ่มต้นคือต้องไป 研修 ที่โรงงานฟุคุชิมะวันพฤหัส-ศุกร์ แล้ววีคนั้นมันมีวันหยุดเสาร์-จั...
18/01/2024

เซนไดเซนใจ ทริปเก่าตั้งแต่ปี 2023

จุดเริ่มต้นคือต้องไป 研修 ที่โรงงานฟุคุชิมะวันพฤหัส-ศุกร์ แล้ววีคนั้นมันมีวันหยุดเสาร์-จันทร์ ดิชั้นก็คิดแล้วว่า กุต้องเที่ยว!!

แต่ฟุคุชิมะค่อนข้างบ้านนอก งั้นไปไหนดี ก็จิ้มแมปประเทศญี่ปุ่นเลือกจังหวัดใกล้ ๆ มาลงที่เมืองเซนได จังหวัดมิยางิ

จะบอกว่าดีกว่าที่คิดมากกกก

เป็นเมืองใหญ่แบบเหมือนเมืองหลวงเลย ถ้าให้เทียบอาจจะแนวขอนแก่น โคราช เมืองใหญ่แห่งภาคตะวันออก5555

แต่เรื่องที่เที่ยวใด ๆ ก็คือปล่อยจอย ซื้อบัสพาส 1 วันแล้วเที่ยวตามกูเกิลเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้เจอที่ที่ชอบมาก ๆ มันชื่อ Sendai mediatheque เป็นอะไรไม่รู้ มีทั้งคาเฟ่ ห้องสมุด ห้อง conferrence และ art gallery โชว์ผลงานจากคนในชุมชน ซึ่งมันเริ่ดมากทุกคน การจัดโชว์แต่ละห้องตามประเภทงาน งานวาด งานภาพถ่าย มีโซนผลงานของผู้สูงอายุด้วย คือรู้สึกว่าถ้าเป็นคนแก่มาอยู่ที่นี่ต้องมีความสุขแน่เลย เข้าชมฟรี รีเซปชั่นก็คือลุงๆป้าๆ นั่งคุยเก่งมาก คุยกับเราด้วย55555

อย่างที่สองที่เริ่ดคือลิ้นวัว

ปกตินี่ไม่กินวัวเพราะไม่ชอบกลิ่นมัน แต่ลิ้นมันไม่มีมันไง แล้วร้านคือเดินไปมั่ว ๆ แถวโรงแรมเลยแต่อร่อยล้ำมาก อยากเบิ้ลมากแต่ก็อิ่มจริง ๆ

แต่ก็มีเรื่องน่าเสียดาย คือเจอฝนทั้งวันอยู่วันนึง แต่ก็เป็นฝนตกที่แดดออก เลยไม่นอยมาก55555

ถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียของเมืองเซนได อาจจะต้องบอกว่าของแพง55555 แบบพวกโรงแรมมันแพงกว่าโรงแรมทั่วไปในเรตต่างจังหวัดอ่ะ 3คืนหมื่นสาม (บาท) เว่อร์ปะะะ หรือคิดไปเอง หรือชั้นจนเกินไป555555

จากที่เที่ยวญี่ปุ่นมาได้สักครึ่งประเทศ ยกให้ฮาโกเนะเป็นสถานที่ที่ชอบที่สุด แม้ว่าจะวอแวคามิโคจิมากขนาดไหนก็ตาม เหตุผลที่...
12/12/2023

จากที่เที่ยวญี่ปุ่นมาได้สักครึ่งประเทศ ยกให้ฮาโกเนะเป็นสถานที่ที่ชอบที่สุด แม้ว่าจะวอแวคามิโคจิมากขนาดไหนก็ตาม

เหตุผลที่ฮาโกเนะชนะเพราะว่าเดินทางง่ายกว่ามากกกก อาจเพราะมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวมากกว่า อาหาร ขนม โรงแรม ทุกอย่างหาง่าย มีรถบัสวิ่งรอบ ๆ แวะสถานที่สำคัญและมีฟรีพาส นอกจากนี้ยังเป็นเมืองออนเซนและมีมิวเซียม/อาร์ตแกลลอรีเยอะมาก ไปดูงานอาร์ตอย่างเดียวก็คุ้มละ

ยังมีธรรมชาติที่พอดี มีทะเลสาบ มองเห็นฟูจิ มีกระเช้าขึ้นเขา มีออนเซน มีทั้งน้ำทั้งป่า เลยไปเที่ยวปราสาทโอดาวาระก็ได้ไม่ไกล เอาอะไรมาไม่ปัง

แต่จุดประสงค์หลักของโพสต์นี้ไม่ใช่มาเพื่ออวยสถานที่อย่างเดียว แต่เพราะว่าทริปนี้มีความหมายกับเรามาก ๆ ในแง่ของการก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน 

ก็ไม่รู้ว่าในสายตาคนอื่นเราดูเป็นคนยังไง แต่จริง ๆ แล้ว introvert มากกกกกก ไม่เคย make friends ได้จากการท่องเที่ยวแม้จะนอนโฮสเทล แต่ครั้งนี้โชคดีมาก ๆ ที่เจอผู้หญิงเมกันคนนึงตั้งแต่ป้ายรถบัส แล้วก็ลงป้ายเดียวกัน พักที่เดียวกัน ตอนแรกก็คือมอง ๆ กันแต่ไม่ทัก สรุปเช็กอินเสร็จ นอนเตียงข้างกันจ้า แล้วนางเม้าเก่งด้วย ฝอยยาวเลยทีนี้

ส่วนเตียงบนอีกคนเป็นแคนาดา แล้วก็มีคนญี่ปุ่นชายหญิงอีกคู่นอนด้วยกัน ซึ่งเราไปแทรกกลางไม่ได้อยู่ละ เราสามคน ไทย เมกา แคนาดา เพื่อนเฉพาะกิจก็เลยออกไปกินข้าวเย็นกัน เป็นการกินข้าวกับคนแปลกหน้าที่ไม่อึดอัดเลย ประหลาดใจมาก55555

ตอนกลางคืนยังไปออนเซนกลางแจ้งกับเพื่อนผู้หญิงด้วย แล้วก็ไปเจอคนออสเตรเลียอีกคน คือต้องขอบคุณไคลี่ย์ที่ชวนคุยเก่งมาก ๆ ทำให้นี่ไม่เหงาปากและได้พูดภาษาอังกฤษที่โหยหามานานซะที

อีกคนนึงที่ดีใจที่ได้เจอคือจอช คนแคนาดานั่นแหละ นางเรียนจบมาก็ทำงานแบบ wfh 100% ก็ทำสองบอพร้อมกันไปเลยสิจ๊ะ ละทำหกเดือน เพื่อเก็บเงินมาเที่ยวรอบโลกแปดเดือน ไอดอลชัด ๆ 555555 หลังจากญี่ปุ่นนางมีแพลนไปเกาหลี ไทย แล้วก็เวียดนามต่อ (ณ เวลานี้ที่โพสต์ นางอยู่เกาหลี อิจฉาเกิน)

จากกระแส  #แบนเที่ยวเกาหลี ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เขียนบันทึก wrap up ทริปเลยนี่นา ซึ่งถ้าไม่นับพาร์ทตม. การเที่ยว...
05/11/2023

จากกระแส #แบนเที่ยวเกาหลี ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เขียนบันทึก wrap up ทริปเลยนี่นา ซึ่งถ้าไม่นับพาร์ทตม. การเที่ยวเกาหลีรอบนี้มีความสุขจริง ๆ

เริ่มที่ตม.ก่อน เราถึงเช้ามาก ประมาณเกือบตีห้า รอคิวแถวยาวประมาณชม.นึงแบบยม ๆ ตอนแรกก็กลัวมากเพราะเพิ่งเปลี่ยนพาสปอร์ต แล้วเพิ่งรู้ตัวว่าพกเอกสารรับรองการทำงานไปนะ แต่ลืมเอาฉบับแปลอังกฤษไป มีแต่ภาษาญี่ปุ่น กุจะรอดปะวะ55555 แต่ตม.ไม่ถามอะไรเลย ไม่พูดสักคำ ขนาดสแกนนิ้วยังเป็นเสียงเครื่องพูด แต่ต่อให้ไม่พูดนางก็ทำให้นี่อยากด่าได้ เพราะปั๊มเสร็จ ***มันโยนพาสปอร์ตคืน*** แล้วโยนแบบดังตุ้บ คือเหวอเลยอ่ะ คิดว่าจะจบสวย ๆ ละ แต่ก็นั่นแหละ มารยาท

หลังจากนั้นก็เข้าสู่โหมดเที่ยว

ด้วยความที่จองไว้นานแล้ว และบังเอิญมันตรงกับช่วงคัมแบคของ 127 น้องที่รู้จักจากการติ่งเค้าไปเกาหลีพอดีเลยได้เจอกัน เป็นการเจอกันครั้งแรกในรอบสี่ปีที่รู้จักกันเลย และน้องพาเปิดโลกมาก ทั้งการแกะบั้มแลกการ์ดกันในร้านที่มีพี่สาวเกาหลีและพี่สาวชาวจีนคอยลุ้น ร้านมีจัดโซนไว้ให้ มีคัตเตอร์ ถังขยะใด ๆ ไว้ให้ทิ้งบั้ม (ต้องแยกขยะด้วย) รวมทั้งได้รู้ทริคต่าง ๆ ที่จะโดนหลอกแลกการ์ดบั้มถูกกับบั้มแพงอะไรอีกมากมาย น้องไฟท์เพื่อชั้นสุดเพราะนี่จำเวอร์ชั่นอะไรไม่ได้เลย ขอบคุณมต.และพี่ต.นามสมมติมา ณ ที่นี้จริง ๆ ช่วยกันฟันฟ่าอุปสรรคมาก

มาพูดถึงการเที่ยวมั่ง คือ เอาจริง ๆ มันก็มีที่เที่ยวเยอะนะ แต่นี่รู้สึกว่ามันเหนื่อยกว่าญี่ปุ่นทั้งที่ระบบ public transportation คล้ายกันเพราะว่ารถไฟใต้ดินมันวางสถานีแมส ๆ ไว้คนละสายหมดเลย อย่างฮงแดก็สีเขียว อันกุกสีส้ม ยออีโดสีชมพูงี้ คือการจะไปเที่ยวที่แมส ๆ ต้องคอยเปลี่ยนสายตลอดเลย ไม่เหมือนญี่ปุ่นที่มียามาโนเตะไลน์ครอบคลุมเกือบหมด เลยจะเดินเยอะหอบแฮ่กมาก ๆ แถมยังอยู่ใต้ดินแบบไม่รู้จะลึกไปไหน บางอันอยู่ B7 งี้ อส จะถึงแมกมาละ

แต่พูดถึงค่าครองชีพ นี่ว่าเกาหลีถูกกว่าญี่ปุ่นจริง ๆ อย่างค่าอาหารในห้างงี้ เป็นเซตเริ่มที่ 9000 วอน ก็ประมาณ 900 เยน ซึ่งญี่ปุ่นราคานี้ไม่มีทางได้เซตแบบข้าว กับ ซุป อ่ะ ยังไงก็ 1200 เยนขึ้น ค่ารถไฟโดยเฉลี่ยก็ถูกกว่า ส่วนใหญ่ต่อกี่สายก็อยู่ใน 1500 วอน (150 เยน) ซึ่งถึงญี่ปุ่นจะมีระบบลดราคานิดหน่อยเวลาต่อรถหรือใช้ ic card แต่ส่วนใหญ่ก็สตาร์ทที่ 170 เยนละอ่ะ รถบัสก็ 200 เยนอย่างต่ำ คือยังไงก็แพงกว่า ยิ่งไปไกลยิ่งแพงกว่า

ส่วนโรงแรมอาจจะเทียบยากนิดหนึ่งเพราะ facilities ยิบย่อยต่างกันมาก แต่ในแง่ความง่ายในการสื่อสาร เกาหลีมัน tourist friendly มากกว่า เพราะสตาฟพูดอังกฤษได้ค่อนข้างดี และมีช่องทางคอนแทคหลากหลาย ไลน์ เฟส กาเกา ในขณะที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะคุยผ่านช่องแชทของเว็บจอง คือมันก็เป็นระบบมากกว่าแหละ แต่มันช้ากว่าในบางกรณี ซึ่งเอาง่ายเอาสบายก็ต้องเกาหลีอ่ะ

พูดถึงเรื่อง tourist friendly เกาหลีชนะเลิศ

ญี่ปุ่นอ่ะ ป้ายต่าง ๆ ก็มีภาษาอังกฤษภาษาจีนแหละ เกาหลีก็เริ่มมี แต่ยังไม่มีประกาศหลากหลายภาษาเท่าเกาหลี บางที่จะประกาศภาษาอังกฤษแค่สถานีใหญ่ ๆ ส่วนเกาหลีคือเหมือนจะพูดทุกภาษาที่จะพูดได้ พูดมันทุกสถานีจนงงแล้วว่าตอนนี้กุอยู่ที่ไหนนะ5555

อีกเรื่องที่เต็มสิบไม่หักคือสตรีทฟู้ด อร่อย ทำสดใหม่ ให้เยอะ สายกินคือเลิฟ

ยังไม่นับเรื่องช็อปปิ้งเสื้อผ้าเครื่องสำอางและราคาที่ญี่ปุ่นอย่าคิดแข่งเลยจ่ะ คนในประเทศยังบอกว่าของมึงแพง5555 โครงการเกาหลีชนะอีกหนึ่ง

Anyway ไม่ได้บอกว่าเกาหลีดีกว่านะ เพราะเรื่องที่แย่กว่าก็มี เช่นสกิลการขับรถบัสคือให้คะแนนพอ ๆ กับปารีสเลย คือจะต้องเหวี่ยงต้องรีบอะไรขนาดนั้น แกต้องส่งรถเป็นรอบแบบแท็กซี่เบ๋อ

สุดท้ายนี้ เมื่อก่อนเคยไม่เข้าใจว่าเกาหลีญี่ปุ่นใกล้กันแค่นี้เอง ทำไมคนไปเกาหลีเยอะกว่าแบบมาก ๆ พอไปเองก็ถึงได้เข้าใจว่าเอออัตราการ spend เงินมันต่างกันจริง ๆ อ่ะ นี่ก็สบายใจกะการซื้อของในเกาหลีมากกว่าอีก เพราะหยิบ ๆ จ่าย ๆ ได้เลย ถูกชัวร์

ที่นี่คือ Arario Museumเหมือนจะเจอเพราะกดหา art gallery ไปเรื่อยใน naver map แล้วก็เจอที่นี่ เป็น gallery ของ contempora...
13/10/2023

ที่นี่คือ Arario Museum
เหมือนจะเจอเพราะกดหา art gallery ไปเรื่อยใน naver map แล้วก็เจอที่นี่ เป็น gallery ของ contemporary art เห็นรูปจากนิทรรศกาลช่วงนี้แล้วคิดว่าสวยดีก็เลยปักลงในแพลน อยู่แถวสถานีอันกุกด้วย คิดว่าไปเที่ยวคาเฟ่อื่นรอบ ๆ ได้ ก็เลยไป จริง ๆ แอบผิดแพลนนิดหน่อยเพราะตื่นสาย ความจริงตั้งใจไป Ilmin museum ที่อยู่ไม่ไกลกันด้วยแต่เวลาไม่พอ

นอกจากมิวเซียมแล้วข้างล่างยังมีคาเฟ่ ไม่ได้กินแต่เห็นคนเยอะตลอด น่าจะอร่อย ค่าเข้าแค่ 15,000 วอนมั้ง แต่มีหลายชั้นมาก เดินจนเมื่อย แล้วมีนิทรรศการหลายแบบ มีทั้งภาพวาด ภาพถ่าย sculpture แล้วก็แบบเป็นผลงานชิ้น ๆ ไม่รู้เรียกว่าอะไร แต่นี่คืองานที่เราชอบที่สุด

มันไม่มี description แปะ แต่มีบอร์ดไฟนีออนเขียนว่า 꿈 ซึ่งแปลว่าความฝัน ถึงจะไม่รู้ว่าเกี่ยวไรกัน แต่รู้สึกว่าแก๊งหนู ตราชั่ง เงิน และแก้วกาแฟบนพื้นมันสื่อถึงค่านิยมของการไฟคาเฟ่เพื่อถ่ายรูป เพื่อสร้างคอนเทนต์โดยมีเรื่องกินเป็นเรื่องรองได้ดีมากเลย ยิ่งเกาหลีเป็นประเทศคาเฟ่ก็คิดเอาเองว่าศิลปินตั้งใจสื่อสารเรื่องนี้หรือเปล่า บางอย่างถูกซื้อมาเป็นพร็อพแล้วก็กลายเป็น waste ไป

นี่ก็กำลังคิดว่าคนตัวโตตรงกลางสีส้ม ๆ คืออะไร อาจจะหมายถึงสตาฟของคาเฟ่รึเปล่า

ทริปเกาหลีที่ชุบชูใจ แต่ก็ไม่อ่อนโยนใครเห็นในไอจีคงรู้แล้วว่าทริปแวนโก๊ะนี้เป็นความสุขที่แลกมาด้วยเงินและน้ำตา5555ก็คือ ...
09/10/2023

ทริปเกาหลีที่ชุบชูใจ แต่ก็ไม่อ่อนโยน

ใครเห็นในไอจีคงรู้แล้วว่าทริปแวนโก๊ะนี้เป็นความสุขที่แลกมาด้วยเงินและน้ำตา5555

ก็คือ ก่อนจะเข้าเรื่องดี ๆ ก็ขอรีแคปเรื่องแย่ ๆ ก่อน เริ่มจากเห็นโฆษณางาน Van Gogh Immersive Experience จัดในเกาหลีพอดี เลยกดบัตรแบบไม่คิด แล้วก็เพิ่งมาเช็กว่ามันจัดนอกโซล คือต้องออกไปคยองกี แต่เราก็คิดว่าฟีลกรุงเทพนนทบุรีป่ะ ไม่เป็นไรหรอก ปรากฏ บวกกับติดวันหยุดด้วย ห้างร้างมาก ดีที่งานจัดทุกวัน

แต่นอกจากปัญหาในการเดินทางที่ไม่ค่อยเอื้อเพราะรถบัสไม่มีจอแสดงป้าย ไม่มีประกาศภาษาอังกฤษแล้ว ก็คือเรื่องตั๋วออนไลน์ที่ redeem ไม่ได้ ทั้งที่ซื้อจากเว็บตัวแทน official (เว็บ fever) สุดท้ายก็ต้องซื้อตั๋วใหม่หน้างาน ละเรามันอยากได้การ์ดที่ระลึกด้วยไง จัดไป VIP แพงสุด 34,000 วอน ตังค์จะไม่พอแล้วนะเพราะเมื่อวานก็เอาไปละลายทรัพย์กับบั้ม nct 55555

แต่แบบ นั่งรถมาเป็นชั่วโมงขนาดนี้จะยอมแพ้ได้ไง ต้องซื้อป่ะ ก็เออ ได้การ์ดที่ระลึกกับโปสเตอร์มา ซึ่ง... ขากลับฝนตก โปสเตอร์เปียกน้ำเลยทิ้งไปแล้ว ;-;

มารีวิวงานบ้าง คือดีมากกกกกๆๆๆๆๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าชอบแวนโก๊ะมั้ย เอาแค่พอจะมีใจรักความสุนทรีย์คือต้องชอบแน่นอน มีทั้งโซนโชว์ภาพเด่น ๆ กับเซ็ตดอกไม้ still alive หรือพวกรูปที่ไม่แมส ที่ไม่เคยเห็นก็มี มีโซนโชว์แสงสี VR ละก็ให้ระบายสีด้วย คือก่อนหน้านี้ไป Immersive museum ของญี่ปุ่นคือสู้ไม่ได้เลย ปกตินี่ไบแอสญี่ปุ่นตลอดนะแต่งานนี้เกาหลีชนะ

มันคุ้มจริง ๆ สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจซื้อตั๋วไปแบบไม่คิดเลยคือการจำลองห้อง Bedroom in Arles ออกมาจากภาพ นี่เห็นละร้องไห้เลย มันปริ่ม555555 อาจจะเพราะเพิ่งไปอาร์ลมาด้วย คือห้องนอนที่อาร์ลมันมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย พวกซีนสำคัญ ๆ ที่คุยกับพอลโกแกงเอยหรือเรื่องตัดหูเอย ห้องนอนมันก็คือชีวิตของแวนโก๊ะในช่วงนั้นอ่ะ

ต่อมาที่ชอบอีกคือ VR ใครสายตาสั้นก็ทำใจนิดนึง มันจะเบลอ ๆ แต่ทำดีมาก เสียดายถ่ายรูปไม่ได้ มันดีมากๆๆๆ เอางี้คืออยากไปอีกแล้ว555555

ถ้าให้พูดถึงข้อเสียคือมีอย่างเดียว คือ description ไม่มีภาษาอังกฤษเลย นอกนั้นเริ่ด 9.5/10

ใครไปเกาหลีแล้วมีวันว่างก็แนะนำมาก ๆ งานจัดถึงสิ้นปีเลย เช็คได้ที่ https://vangoghexpo.com/seoul/en/ จัดมาแล้วหลายประเทศ กำลังจะจัดอีกหลายประเทศ อังกฤษก็มีอยู่ มันดีจริง ๆ

#เที่ยวเกาหลี #เที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง

ติดแท็กแบบอินฟลูซะหน่อย

ตอนนี้หลายคนน่าจะรู้จักคามิโคจิกันแล้ว เป็นอุทยานแห่งชาติของญี่ปุ่นอยู่ในจังหวัดนากาโนะ ที่สวยเป็นอันดับต้น ๆ และเป็นที่...
29/09/2023

ตอนนี้หลายคนน่าจะรู้จักคามิโคจิกันแล้ว เป็นอุทยานแห่งชาติของญี่ปุ่นอยู่ในจังหวัดนากาโนะ ที่สวยเป็นอันดับต้น ๆ และเป็นที่ที่ไปแล้วอยากไปซ้ำอยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่ได้ไปสักที รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว

รูปนี้ถ่ายเมื่อปี 2018 สมัยไปฝึกงาน จำได้ว่าเป็นหน้าร้อนที่ร้อนมาก ไอ้เราก็ไม่รู้หรอกว่าคามิโคจิมันอยู่บนเขา มันจะหนาว มีแค่คาดิแกนหนึ่งตัวกะไปกันแดด รองเท้าก็ผ้าใบโอนิสึกะธรรมดาที่ใส่สวย ๆ ได้แต่ใส่เดินป่าคือเจ็บตีนชิบหาย ของกินก็ไม่ได้เอาไปเลยเพราะคิดว่าญี่ปุ่นทุกที่ต้องมีเซเว่น เป็นการไปเที่ยวที่ไม่พร้อมเลย (แต่ก็ไม่เคยพร้อมสักรอบอ่ะ แหะ)

ทุกวันนี้ก็ยังจำรายละเอียดหลายอย่างได้ดี ตั้งแต่ต้องไปขึ้นรถ night bus ที่ชิบูย่า แต่หาทางขึ้นไม่เจอ เดินตามกูเกิลแมปก็พาไปอ้อมไซต์ก่อสร้างอะไรไม่รู้ จนมาถึงห้างห้างหนึ่ง ซึ่ง... ดูไม่มีที่จะให้ขึ้นรถบัสได้เลย มีแต่สถานีรถไฟ

ตอนนั้นเวลาออกรถก็กระชั้นเข้ามา ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยไปที่สถานีรถไฟก่อน ตอนนั้นภาษาญี่ปุ่นก็โบ๊เบ๊มาก ลองเอาตั๋วรถบัสให้เจ้าหน้าที่สถานีดูเพราะจะถามว่าต้องขึ้นตรงไหน เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่แน่ใจ แต่ให้ลองขึ้นไปชั้นบนสุดนะ นี่ก็แบบ ชั้นบนเหรอ แต่ป้ายมันเขียนว่าข้างบนเป็นโรงแรมนะ เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่าไม่แน่ใจอย่างเดียว

ตอนนั้นทำใจละว่าทิ้งตั๋ว เสือกซื้อแบบไปกลับจ่ายเงินแล้วด้วย แพงด้วย แต่ก็ไม่รู้จะทำไง เลยขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบนสุดตามป้ายโรงแรมจริง ๆ

แต่คุณพระ! พอถึงชั้นบนมันมีป้ายบอกทางไปท่ารถบัสเว่ย มีเป็นเวิ้ง ๆ และมีห้องพักให้นั่งรอ ติดแอร์เย็นฉ่ำ นี่ก็วิ่งไปถามรปภ. อีกทีว่าใช่มั้ย จะไปคามิโคะจิ รปภ.ก็ถามว่าจะไปไหน นี่ก็บอกคามิโคะจิ เขาก็ส่ายหน้าบอกไม่มี ๆ เราก็บอกเวลาไป เขาก็เช็คในกระดาษ ก็บอกไม่มี กูก็เอาแล้ว ยังไงวะ เลยถามว่านากาโนะล่ะ เขาก็อ๋ออออ คามิโค~จิ คือ โคต้องออกเสียงยาว อิเปรต เว่อร์มาก นั่นแหละ สุดท้ายลุงก็ขำละบอกให้เข้าไปรอในห้องแอร์ก่อน เพราะนี่เหงื่อซ่กล่กมาก

แต่มันไม่จบแค่นั้นจ่ะ มาถึงสถานีคามิโค~จิตอนตีห้าครึ่ง ฟ้าเริ่มสว่างแล้วแต่รอบด้านคือเงียบกริบ คนอื่นที่เตรียมถุงนอนเตรียมเตนท์เตรียมไรมาก็มุ่งหน้าไปตามเทรล เป็นทางหินแคบ ๆ ส่วนอิชั้นยืนเอ๋อ ไหนอ่ะร้านข้าว มีเพียงร้านของฝากร้านหนึ่งกำลังเปิดร้าน ก็เลยยืนรอ คิดว่าแซนวงแซนวิชกินง่าย ๆ มันต้องมีมั่งล่ะ ปรากฏว่าไม่มี! ไม่มีเลยเจ้าค่ะ! ชั้นเลยได้ซื้อน้ำเปล่าหนึ่งขวด แล้วก็คิดว่าเดิน ๆ ไปก่อน ไปตายเอาดาบหน้าก็ด้ะ แต่ใจยังคิดว่าระหว่างทางต้องมีตู้กดน้ำอัตโนมัติบ้างแหละ นี่มันญี่ปุ่นนะเว่ย

สรุปเข้าไปได้สักพัก สัญญาณโทรศัพท์ยังไม่มีเลยแม่ เอ๋อมาก กุมาถ่ายอังกอร์บ่นิ? หรือทาร์ซาน?

แต่บรรยากาศรอบข้างคือสวยจริง ๆ ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้านี้น้ำทะเลสีมรกตเดียวที่เคยเห็นคือน้ำอมตะไคร่บางแสน พอมาเจอน้ำเขียว ๆ ไหลเป็นธารยาวแบบนี้คืออะเมซิ่งมาก แล้วคนอื่น ๆ น่ะเขาเดินเร็วเดินนำชั้นไปหมดแล้ว เลยถ่ายรูปค่อนข้างง่าย ลมก็เย็นดีมากทั้งที่เป็นหน้าร้อนเดือนกรกฎา แดดดี ฟ้าเปิด แมลงก็ไม่ค่อยมี

แต่ยังหิวอยู่

ตอนนั้นตั๋วขากลับคือบ่ายสามโมง เหลือเวลาอีกเก้าชั่วโมงทำไรดี ก็ไม่มีทางเลือกใดนอกจากเดินแหละ เดินไปเรื่อย ๆ ก็เจอร้านของฝากที่ใหญ่ขึ้น และร้านอาหารฝรั่งที่ดูหรูหรา แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นของแขกที่พักโรงแรมอย่างเดียวหรือต้องรอคิวยาว ก็เลยไม่กิน แต่ๆๆๆ ไม่รู้สมัยนี้ยังมีขายมั้ยนะ แต่คุกกี้วัฟเฟิลไส้น้ำผึ้งในร้านของฝากอร่อยมากกกก อร่อยมากๆแบบต่อให้ไม่หิวโซก็อร่อย คอนเฟิร์ม5555

เมื่อได้อัดฉีดน้ำตาลเข้ากระแสเลือดเราก็เดินต่อ สัญญาณโทรศัพท์ยังคงขาดห้วง เลยได้แต่คุยกับคนนั้นคนนี้ที่เดินผ่าน ทุกคนเฟรนด์ลี่มาก มีคนญี่ปุ่นเห็นเรามาคนเดียวก็มาเสนอจะถ่ายรูปให้ แต่เป็นการถ่ายโดยชายแท้ คือกดหนึ่งรูป ละกูจะกล้าต่อรองให้ถ่ายเพิ่มเหรอ ก็ไม่ ก็ขอบคุณละแยกย้ายกันไป แต่พอมาดูรูป ก็คือย้อนแสงจ้า ชั้นเหมือนแท่งดำ ๆ หนึ่งอันในอุทยานแห่งชาติ ฝีมือแค่นี้แล้วมึงจะมา offer กุเพื่อ

แต่เราไม่โกรธ เพราะถึงไม่ย้อนแสงก็ไม่สวยอยู่ดี คนนอนในรถบัสตื่นมาหน้าไม่ได้ล้างจะเอาไรมาสวยก่อน

ระหว่างเดินเข้าป่าก็สวนกับปู่ย่าตายายที่มาเดินกับหลานหลายคน ทุกคนทักทายกันตลอดทาง เอเนอร์จี้เก็งกิมาก นี่ก็สังเกตละ ว่ารองเท้าทุกคนมันเป็นบูทกันน้ำมั่ง บูทหุ้มข้อทำหรับเดินป่ามั่ง มีกุนี่แหละเสื้อยืนเกงยีนผ้าใบเน่า ๆ แต่ก็กล้าที่จะเดินเทรล

ตอนนั้นเริ่มเดินผ่านไปลึกประมาณนึง รอบข้างคือต้นไม้ละ ไม่ค่อยเห็นวิว แต่เราก็มีจินตนาการว่ายิ่งลึกมันต้องยิ่งสวยสิ ฟีลแบบปลายทางต้องมีแดดส่องเจิดจ้า เป็นวิวลับที่สวยที่สุด สววรค์บนดินงี้

ตื่นจ่ะ เดินลึกไปเรื่อย ๆ คือเจอลิงและกองขี้ของมัน

ตอนนั้นแหละที่เริ่มถามตัวเองว่า มึงกลับมั้ย

แต่มันก็ยังมีคนเดินมาทางนี้เรื่อย ๆ เราก็เลยอ่ะเดิน ยังไงก็มีเวลา จนไปเจอป้ายบอกทางไปศาลเจ้ากลางป่า เฮ้ย ดูมีสตอรี่ เปลี่ยนเส้นทางดีกว่า

แต่ก็นั่นแหละ ศาลเจ้าก็คือศาลเจ้า

แต่เพราะออกนอกเส้นทางเดินหลักมาแล้วไง ทีนี้ไม่กล้าเดินมั่วละเลยตามคนตามป้ายอย่างเดียว จนมาเจอจุดพัก และมันมีร้านข้าว! เป็นแกงกะหรี่ด้วย!

เราก็แบบรอดตายละ เดินเข้าไปดูเมนู คือมีแค่แกงกะหรี่อย่างเดียว ที่เหลือเป็นเบียร์ ก็เลยลองถาม ๆ แม่ค้าว่ามีแกงกะหรี่อะไรบ้าง เขาบอกมีแบบเดียว เราก็ถามมีเนื้ออะไรบ้าง เขาทำหน้างง ละก็บอกว่ามีแต่ผัก คราวนี้คนงงคือชั้นละ แกงกะหรี่ที่มีแต่ผัก? ต้องเข้าใจก่อนว่าตอนนั้นยังกินผักไม่ได้ (ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อย5555) ละคุณพี่สาวดันใจดี บอกว่าถ้าหิวจะเพิ่มผักให้กุอีก ก็เลยบอกไม่ๆๆๆ เอาแบบปกติ

อร่อยมั้ยก็อร่อยแหละ แต่มันคือข้าวกับน้ำแกงที่ไร้โปรตีนอ่ะ

กินเสร็จก็เดินออกมา เริ่มเป็นรูทเดินกลับละ มีห้องน้ำ ก็เลยลองแวะ และปรากฏว่านั่งไม่ได้จ้า ส้วมซึม ในส่วนนี้ก็คือต้องอั้นเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้กินน้ำเยอะเพราะอากาศมันไม่ร้อน ก็เดิน ๆ จนใกล้ ๆ จะทางออกละ มันมีโซนพักอีก มีโต๊ะเก้าอี้อะไรกลางแจ้งหลายตัว คราวนี้ชั้นไม่สนอะไรละ ได้ที่นั่งกุฟุบนอนเลย เหนื่อย หลับ

ซึ่งมันก็หลับ ๆ ตื่น ๆ อ่ะ เพราะนอนไม่สบาย แต่ก็ยังได้พักร่าง สุดท้ายก็มาเดินต่อรอขึ้นรถกลับ ซึ่งก็ระทึกอีกเพราะว่าประกาศทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่น ใช้คนประกาศ ไม่มีจออะไรเลย ฟังล้วน โอ้โห ดิชั้นไม่กล้าลุกไปไหนเลย บวกกับเก้าอี้นั่งรอก็น้อย ถ้าไม่อยากนั่งพื้นก็ต้องจองไว้

สรุปวันนั้นกลับบ้านอย่างยม เหนื่อยแต่คุ้มก็ใช่ แต่เหนื่อย อย่าบอกว่าเห็นวิวสวยแล้วหายเหนื่อย ไม่

ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อแวนโก๊ะคือตอนป.5 เพื่อนสนิทในตอนนั้นคนหนึ่งเป็นคนพูดให้ฟัง เพื่อนค่อนข้างชอบศิลปะและทำงานศิลปะได้ดี...
23/09/2023

ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อแวนโก๊ะคือตอนป.5 เพื่อนสนิทในตอนนั้นคนหนึ่งเป็นคนพูดให้ฟัง เพื่อนค่อนข้างชอบศิลปะและทำงานศิลปะได้ดี จำได้ว่าตอนนั้นทำงานกลุ่มกันแล้วต้องทำงานอะไรสักอย่างที่ต้องปั้นของจากกระดาษทิชชู่ แล้วเพื่อนเอาภาพ the terrace at night มาเป็นเรฟ ก็คือพวกเราจะปั้นคาเฟ่กัน

ตอนนั้นชื่อแวนโก๊ะมันติดหูมาก ก็เลยลองไปเสิร์ชหา (สมัยนั้นมีเน็ตละ แต่ยุคโมเด็ม เมาส์ลูกกลิ้ง😂) แล้วก็พบว่าภาพที่ดังที่สุดคือ Sunflower กับ Starry night ตอนนั้นก็เลยคล้าย ๆ ว่าจะชอบสองรูปนั้นไปโดยปริยายทั้งที่ไม่ได้ชอบสีเหลืองนะ

พอโตขึ้นมา ก็ค่อย ๆ พบว่าตัวเองชอบเสพงานศิลป์ โดยเฉพาะภาพ painting สีน้ำและสีน้ำมัน ได้ศึกษาเกี่ยวกับศิลปะมากขึ้น ได้รู้จักแต่ละยุคของศิลปะ งาน impressionism ซึ่งเรื่องความชอบก็ส่วนความชอบ สกิลในการวาดรูปยังคงทุเรศทุรังเหมือนนรกตั้งใจใส่บั๊กนี้มาให้เหมือนเดิม

Anyway การเริ่มรู้จักแวนโก๊ะทำให้เราได้ลามไปรู้จักคนอื่น ๆ ด้วย แต่สมัยนั้นไม่มีคนให้เมาท์เท่าไรเพราะมันไม่มีคนอิน (และเคยมีเพื่อนคิดว่านี่พยายามทำตัวติสต์ด้วย เลยไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้กับใคร) เลยได้แต่ไปหอศิลป์ต่าง ๆ คนเดียว (บังคับให้แม่ขับรถพาไป MOCA แต่แม่ก็ไม่เดินกับเรา55555)

ตอนอยู่จุฬาคือแฮปปี้มาก เพราะหอศิลป์กรุงเทพอยู่ตรงนั้น River city ก็ไม่ไกลมาก เสียดายที่เพิ่งมาเริ่มจัดงานช่วงหลัง ๆ ตอนจัดงานของแวนโก๊ะเราก็มาญี่ปุ่นแล้ว แต่มีโอกาสได้ไปงาน From Monet to Kandinsky ก่อนบิน เป็นครั้งแรกที่ได้ไป exhibition ฉายภาพแบบนั้น ตอนนั้นคนยังน้อยด้วยเลยแฮปปี้มาก

นอกเรื่องยาวมาก ไม่เกี่ยวกับรูปเลย55555

ความจริงก็คือ อยากให้โพสต์แรก (อย่างจริงจัง) ของเพจ เป็นอะไรที่เป็นตัวเรา ก็คงจะต้องเป็น mixture ของศิลปะกับการท่องเที่ยวล่ะมั้ง เพราะทริปฝรั่งเศสนี้ เกิดขึ้นเพื่อตามรอยแวนโก๊ะที่ Arles โดยเฉพาะ!

แต่ว่าทริปนี้คุ้มต่อใจจริง ๆ นะ แม้จะเดินจนขาลาก แต่ทุกที่ที่ไปคือได้ตามรอยศิลปินคนโปรด ซึ่งเมืองก็ให้ความสำคัญกับเขาถึงขั้นทำป้าย Van Gogh trail ไว้ให้ตามรอย แวนโก๊ะแค่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่เขาไม่เคยตายไป ตัวตนของเขาอยู่ในผลงาน และโชคดีที่โลก recognize ผลงานเขา เราเลยได้เจอ เลยได้มาเป็นติ่ง

ทุกคนคงรู้ว่าประวัติชีวิตแวนโก๊ะมัน tragic มาก ที่บ้านไม่สนับสนุนเส้นทางศิลปิน ได้เริ่มวาดรูปตอนอายุ 27 วาดได้แค่สิบปีมันก็จบลง ยังไม่ทันเห็นตัวเองมีชื่อเสียงด้วยซ้ำ แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีมั้ง ที่อย่างน้อยก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน55555

อีกเรื่องคือเขามีน้องชายที่ supportive มาก นี่อาจจะอีโมไปหน่อยแต่เวลาอ่านจดหมายของสองพี่น้องหรือเรื่องของทั้งสองคนจะร้องไห้ตลอดเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ธีโอรีบนั่งรถไฟจากปารีสมาอาร์ลทันทีเพราะแวนโก๊ะตัดหูตัวเองจนเข้าโรงพยาบาล เพราะขนาดสมัยนี้นั่งรถไฟความเร็วสูงยัง 4-5 ชั่วโมงอ่ะ หรือจะเป็นเรื่องที่ว่าธีโอเสียหลังพี่ชายแค่ปีเดียว แล้วหลุมศพก็ตั้งอยู่ข้างกัน😔

แต่ว่านี่ไม่ได้ไปหลุมศพนั้น เพราะมันตั้งอยู่ที่เมืองอื่น แวนโก๊ะย้ายออกจาก Arles ไปอยู่ Auvers (อูแวร์?) ในช่วง 70 วันสุดท้ายของชีวิต จริง ๆ มันอยู่ใกล้ปารีสแหละ แต่นอกจากหลุมศพแล้วไม่รู้จะทำอะไร เลยเลือกมาที่อาร์ล

จริง ๆ แวนโก๊ะย้ายมาหลายเมืองมาก แต่เขาว่ากันว่าตอนอยู่ที่นี่แวนโก๊ะ productive สุด แทบจะวาดภาพใหม่ได้วันเว้นวัน แล้วก็วาดไปทั่วเมืองเลย ทั้ง Starry night over the Rhone, Cafe terrace at night, 12 sunflowers และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมแล้ว 187 ภาพใน 1 ปี

ถ้าถามว่าชอบแวนโก๊ะที่สุดหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่ใช่อ่ะ555555 แต่ว่าแวนโก๊ะเป็นเหมือนรักแรกของนี่ เป็นประตูสู่ศิลปะตะวันตก เป็นคนที่ทำให้คลั่งดอกทานตะวันอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นคนที่ทำให้มุมมองต่อสีเหลืองเปลี่ยนไป และก็เป็นคนที่สอนให้เข้าใจว่าความพยายามไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป

ประโยคสุดท้ายที่ถูกเขียนในจดหมายจากแวนโก๊ะถึงธีโอ

I risk my life for my own works and my reason has half foundered in it. But what can you do?

ประโยคสุดท้ายที่แวนโก๊ะพูดกับธีโอ แล้วยังเป็นประโยคสุดท้ายของชีวิตเขาด้วย

The sadness will last forever

เขาจากไปแบบไม่ทำให้คนที่เหลืออยู่ต้องสงสัยในเหตุผลเลย แต่ก็ยังมีคำว่าทำไมเต็มไปหมด ทั้งที่สีเหลืองสดใสขนาดนั้น ทั้งที่ชอบใช้สีเหลืองขนาดนั้น ชีวิตของวินเซนต์ แวน โก๊ะ เต็มไปด้วยเรื่องราวหักมุมเต็มไปหมดเลย

ในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดเพจไว้เก็บความทรงจำเกี่ยวกับการเดินทาง (พูดซะเท่ ก็เรื่องเที่ยวนั่นแหละ แหะ)จริง ๆ เกิดจากเห็นเพื่...
23/09/2023

ในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดเพจไว้เก็บความทรงจำเกี่ยวกับการเดินทาง (พูดซะเท่ ก็เรื่องเที่ยวนั่นแหละ แหะ)

จริง ๆ เกิดจากเห็นเพื่อนทำหลายคนแล้วมันก็เอ๊อะ น่าสนุกดี แต่ไม่รู้จะทำได้สักกี่น้ำหรอก5555 เน้นเปิด เน้นเริ่มใหม่55555

ชื่อ 'มินิทาบิ' มาจากภาษาอังกฤษ+ญี่ปุ่น mini ที่แปลว่าเล็ก ๆ จะหมายถึงการเดินทางท่องเที่ยวก้าวเล็ก ๆ ก็ดี หรือตัวเราที่เล็ก ๆ สั้น ๆ ก็ดี

ส่วนทาบิก็คือ 旅 แปลว่าการเดินทาง ท่องเที่ยว ก็เลยประกอบร่างเป็นมินิทาบิ

ส่วนตรงไบโอเพจ (เพราะเฟสบุคมันบอกให้กรอก ก็เลยต้องสรรหามาใส่) ชาวเน็ตบอกว่าคำตรงข้ามของ mini คือ maxi ก็เลยเอามาตั้งเป็น mini TABI = maxi MEMO

การเดินทางก้าวเล็ก ๆ คือการสร้างความทรงจำที่ยิ่งใหญ่

วะฮ้าวว้าว เว่อร์ป่ะ555555555

Anyway ขอให้มีเงินไปเที่ยวเยอะ ๆ สาทุ

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when mini TABI posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Travel Agency?

Share