Guide thailand

  • Home
  • Guide thailand

Guide thailand ข่าวสาร สังคม ท่องเที่ยว

โปรแรงส่งท้ายปี! รวมที่นอนขายดีจาก 14 แบรนด์ชั้นนำ ลดสูงสุดถึง 70% ที่ Mattress Cityส่งท้ายปีด้วยโปรโมชั่นพิเศษจาก Mattr...
04/11/2024

โปรแรงส่งท้ายปี! รวมที่นอนขายดีจาก 14 แบรนด์ชั้นนำ ลดสูงสุดถึง 70% ที่ Mattress City
ส่งท้ายปีด้วยโปรโมชั่นพิเศษจาก Mattress City ขนทัพ ที่นอนขายดีจากแบรนด์ 14 คุณภาพ ได้แก่
• LOTUS MATRESS
• LOTUS ATTITUDE
• LOTUS BEDDING
• LOTUS OUTLET SALE
• WOODFIELD
• RESTONICMIDAS
• ZINUS
• OMAZZ
• Dunlopillo
• Bed Gear
• Eastman House
• Lalabed
• Malouf
• Elle Decor
โปรโมชั่นลดสูงสุด 70%! เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2567 สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่นอนใหม่เพื่อปรับปรุงการนอนหลับหรือเป็นของขวัญสุขภาพที่ดีในช่วงปีใหม่ ไม่ควรพลาด เพราะเราได้คัดสรรที่นอนที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ ความสบาย และการนอนหลับที่มีประสิทธิภาพมาให้คุณเลือกได้เต็มที่
โปรโมชั่นนี้มีที่นอนหลากหลายรุ่นและดีไซน์ให้เลือก พร้อมคุณสมบัติที่ช่วยรองรับสรีระ ลดปัญหาการนอนหลับไม่สนิท ไปจนถึงการสร้างบรรยากาศสงบเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงห้องนอนหรือการยกระดับประสบการณ์การนอน Mattress City มีให้ครบในทุกรูปแบบ
พิเศษ! รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการในทุกสาขา หรือเพื่อความสะดวกสบายสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที
อย่าพลาดโอกาสดีๆ ในการเลือกที่นอนคุณภาพ ราคาสุดพิเศษที่ Mattress City ทั่วประเทศ
มาสัมผัสประสบการณ์เลือกซื้อที่นอนได้ที่ แมทเทรส ซิตี้ ทั้ง 32 สาขา ใกล้บ้านคุณ
พระราม9​​​สิรินธร​​​​นางเลิ้ง​​​
พระราม 2​​​นครชัยศรี​​​โลตัส แจ้งวัฒนะ
โลตัส บางกะปิ​​​โลตัส บางปู​​​ไดนาสตี้ ราชพฤกษ์​​
ไดนาสตี้ มีนบุรี​​ ปทุมธานี​​​อยุธยา
หัวหิน​​​​พัทยา​​​​ชลบุรี
ระยอง​​​​ตราด​​​​กาญจนบุรี
พิษณุโลก​​​ลพบุรี​​​​แพร่
T21 โคราช​​​สุพรรณบุรี​​​แม่สอด
นครสวรรค์​​​อุดร​​​​ขอนแก่น
สกลนคร​​​โลตัส สมุย​​​สมุย (แม่น้ำ)
หาดใหญ่​​​ภูเก็ต

อัพเดทโปรโมชั่นและข่าวสารได้ทาง
Facebook: https://www.facebook.com/mattresscitythailand และ
Online Call Center: 062 246 2494

ลุ้นครม. ไฟเขียว กฎกระทรวง ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ 5 พ.ย.นี้ คลอดศูนย์ฝึกฯ ภาคสังคม-เอกชน เปิดทางบ้านกาญจนาฯ ทำหน้าที่เจียร...
04/11/2024

ลุ้นครม. ไฟเขียว กฎกระทรวง ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ 5 พ.ย.นี้ คลอดศูนย์ฝึกฯ ภาคสังคม-เอกชน เปิดทางบ้านกาญจนาฯ ทำหน้าที่เจียระไนเด็กและเยาวชนที่ก้าวพลาดคืนสู่สังคม “นักวิชาการ-อดีตศิษย์เก่าบ้านกาญ” ขอบคุณ “ทวี สอดส่อง” ผลักดันจริงจัง หวังโอกาสเข้าพบเพื่อขอบคุณ

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567- นางทิชา ณ นคร ได้โพสข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวเมื่อเร็วๆ นี้ ใจความสรุปได้ว่า เมื่อปี 2543 เกิดเหตุการณ์เยาวชนที่ถูกควบคุมตัว 1,600 คน ทำลายสถานควบคุมและหลบหนี ซึ่งตนเข้ามาร่วมแสวงหาข้อเท็จจริง จนปี 2546 ตนเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการคนนอกของศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก จนถึงปี 2556 ค้นพบ นวัตกรรมลดการกระทำผิดซ้ำ ต้องมาพร้อมวัฒนธรรมปฏิเสธระบบอำนาจนิยม แต่ไม่สามารถส่งนวัตกรรมนี้ให้กับหน่วยงานรัฐได้ จึงต้องหาเส้นทางใหม่ คือการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 55 ของพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ซึ่งเจตนารมณ์คือให้ กรมพินิจฯ สามารถออกใบอนุญาตหรือยกเลิกใบอนุญาตให้นิติบุคคล ภาคสังคม ที่ขอจัดตั้งสถานดูแล ควบคุมเพื่อทำกิจกรรม ฟื้นฟู เยียวยา เจียระไน ฯลฯ เด็กและเยาวชนที่ถูกพิพากษาได้ แต่ต้องเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด

นางทิชา กล่าวต่อว่า การผลักดันกฎหมายดังกล่าวมีมาตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2561 องค์กรด้านเด็ก เยาวชน ครอบครัว กว่า 60 องค์กรได้ทำจดหมายถึงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้สนับสนุนและขอให้ออกกฎกระทรวงมาตรา 55 โดยมีตัวแทนรุ่นพี่บ้านกาญจนาภิเษกที่คืนเรือนไปนานแล้วนำหนังสือไปยื่นกับรองปลัดยุติธรรม รองอธิบดีกรมพินิจฯ จากนั้นมีการล้มลุกคลุกคลาน มีพัฒนากระบวนการมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2565 พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจ หยิบมาปัดฝุ่นผลักดันให้มีการออกกฎกระทรวง มาตรา 55 ล่าสุดพ.ต.ท. ประวุธ วงศ์สีนิล เข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมพินิจเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ได้เชิญตน เข้ามาพูดคุย และหลังจากนั้นมีกลุ่มที่ผ่านการอบรมจากบ้านกาญจนา หรือกลุ่มผู้ถูกเจียระไน และเครือข่ายที่ขับเคลื่อนประเด็นเด็ก เยาวชน และครอบครัว ได้เข้าพบพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อภิปรายในสภา

“แม้ว่า วันนี้กรมพินิจ กระทรวงยุติธรรม จะมีการออกระเบียบยกเลิกตำแหน่งผู้อำนวยการคนนอกของบ้านกาญจนาฯ ซึ่งต้องขอขอบคุณเครือข่ายภาคประชาชน รวมถึงกลุ่มผู้ถูกเจียรนัย ที่ออกแถลงการณ์คัดค้านเรื่องนี้ ควบคู่กับความพยายามในการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 55 ต่อไป โดยมีการมาหารือร่วมกับป้า ซึ่งล่าสุด มีข่าวว่า ในวันอังคารที่ 5 พ.ย. กฎกระทรวง ตามมาตรา 55 จะเข้า ครม. ” นางทิชากล่าว

ด้าน ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข คณะบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลั ยธรรมศาสตร์ ก็ได้โพสเฟสบุ๊ก ว่า ยินดีที่ได้เห็นความคืบหน้าของกฎกระทรวงมาตรา 55 ที่จะเข้า ครม. ในวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่จะเปิดโอกาสให้ภาคสังคมได้มีส่วนร่วมในการดูแล ฟื้นฟู และเยียวยาเยาวชนที่กระทำความผิด จากประสบการณ์ 20 ปีของบ้านกาญจนาภิเษก ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเปลี่ยนผ่านจากระบบอำนาจนิยมสู่อำนาจร่วม และการดูแลเยาวชนผู้กระทำความผิดด้วยนวัตกรรมที่เหมาะสม ช่วยลดการทำผิดซ้ำได้สำเร็จถึง 90-95% เป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นว่า การทำงานกับเยาวชนที่หลงผิดนั้นเป็นไปได้ และต้องทำให้เห็น ตั้งแต่หลักคิด วิธีการ และการปฏิบัติจริง บ้านกาญจนาภิเษกได้พิสูจน์แล้วว่า แม้เยาวชนจะก้าวพลาดเข้าสู่เส้นทางมืด แต่ด้วยการดูแลที่ถูกต้อง เข้าใจ และให้โอกาส พวกเขาสามารถกลับมาเป็นพลังบวกให้กับสังคมได้ และขอบคุณ พล.ต.อ.ทวี ที่ผลักดันเรื่องนี้ หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระบบการดูแลเยาวชนของไทยอย่างยั่งยืน

ขณะที่ นายอภิรัฐ สุดสาย ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ถูกเจียระไน อดีตเยาวชนฯ บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ตนคือหนึ่งในผู้ร่วมขับเคลื่อนผลักดันกฎกระทรวง ตามมาตรา 55 มาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งจะมีผลทำให้ศูนย์ฝึกฯบ้านกาญจนาภิเษก มีสถานะเป็นภาคสังคมหรือเอกชน ที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพินิจฯ ดำเนินการได้โดยได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ เป็นความพยายามขับเคลื่อนกันมายาวนาน จนตอนนี้กลับมามีความหวังอีกครั้งจากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้โอกาสรับฟังเราอย่างจริงจัง มีการลงพื้นที่จริง ทำให้คนจำนวนมากได้รับรู้เรื่องราวของบ้านกาญนาฯ หลังจากที่ผ่านมาแทบไม่มีรัฐมนตรีคนไหนลงพื้นที่มาดูพวกเยาวชนเลย ต้องยอมรับและขอบคุณในความจริงใจมุ่งมั่น โดยเฉพาะการที่ปักธงให้เรื่องนี้จบในยุคของพ.ต.อ.ทวี แสดงว่าท่านเอาจริง

“ท่านรัฐมนตรีฯ พูดเสมอว่าบ้านกาญนาฯ เป็นศูนย์ฝึกที่ดีที่สุดและต้องขยายผลต่อไปอีก ท่านยังให้ความสำคัญในการเอาคนที่ผ่านพ้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างบ้านสร้างเมือง สร้างสังคมให้ดีขึ้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกใจฟู มีคุณค่า แต่ในรายละเอียดหลังจากมีมติ ครม. แล้วก็ต้องติดตามกันต่ออย่างใกล้ชิด และหากเรื่องนี้สำเร็จได้จริง เราหารือกันว่า อยากขอโอกาสท่านให้พวกเราได้เข้าไปขอบคุณและมีข้อเสนอเพิ่มเติมจากพวกเรา ซึ่งคือผู้ที่ผ่านพ้นแล้วและอยากปวารณาตัวเองเป็นพลเมืองตื่นรู้ ได้ทำเรื่องดีๆตอบแทนสังคม” นายอภิรัฐ กล่าว

สสส.จับมือภาคีเครือข่าย ปลุกพลังทางสังคมคุมเข้มทุกปัจจัยเสี่ยง เน้นลอยกระทงสร้างสุข พ้นทุกข์โรคภัย ใส่ใจสายน้ำ สร้างความ...
04/11/2024

สสส.จับมือภาคีเครือข่าย ปลุกพลังทางสังคมคุมเข้มทุกปัจจัยเสี่ยง เน้นลอยกระทงสร้างสุข พ้นทุกข์โรคภัย ใส่ใจสายน้ำ สร้างความสุขความปลอดภัยผู้มาร่วมงาน พร้อมเชิญชวนขอขมาพระแม่คงคา ด้วยการลงมือรักษาสิ่งแวดล้อมต้นน้ำยันปลายน้ำ แก้ไขเหตุภัยพิบัติจากน้ำมือมนุษย์

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ เครือข่ายงดเหล้า มูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม พร้อมภาคส่วนต่างๆ แถลงข่าว “ชวนลอยกระทงสร้างสุข พ้นทุกข์โรคภัย ใส่ใจสายน้ำ” พร้อมทั้งเสวนาบทเรียนการทำงานที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร

นายมานพ แย้มอุทัย ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ร่วมกับเครือข่ายงดเหล้าและภาคี รณรงค์งานลอยกระทงต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 ในภาพรวมพบว่าสถานการณ์ในพื้นที่จัดงานดีขึ้นมาก ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตราย อาทิ ปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง ขณะที่โคมลอยซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ตลาดวโรรส จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงเทศกาลลอยกระทงปี 2566 สร้างความเสียหายกว่า 100 ล้าน รวมถึงการจุดประทัดยักษ์ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูญเสียอวัยวะจากแรงระเบิด สิ่งเหล่านี้ยังต้องหารือเพื่อหาทางออกร่วมกัน เพราะมีหลายพื้นที่จัดกิจกรรมปล่อยโคมลอย และจุดประทัดยักษ์ในเทศกาลดังกล่าวอยู่

นายมานพ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากผลการสำรวจนักท่องเที่ยวในงานลอยกระทงปี 2566 ใน 8 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย เชียงใหม่ ตาก ร้อยเอ็ด มหาสารคาม อุดรธานี เลย หนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่าง 2,448 คน พบว่า นักท่องเที่ยว เห็นด้วยกับการจัดงานลอยกระทงแบบปลอดเหล้า 81% อยากให้มีการตรวจตราบังคับใช้กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 76% เห็นว่าทำให้การทะเลาะวิวาทในงานลดลง 90.6% ขณะที่เด็กเยาวชน 80.8% เห็นว่าไม่ควรขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงาน ดังนั้น เจ้าภาพจัดงานลอยกระทงปีนี้ ในพื้นที่ต่างๆ ควรวางมาตรการควบคุม ป้องกันปัจจัยเสี่ยง เพื่อให้ผู้ร่วมงานมีความปลอดภัย เที่ยวงานอย่างสบายใจ ไม่มีคนเมา ไม่มีความเสี่ยงจากเหตุทะเลาะวิวาท และขอให้ถือเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการจัดกิจกรรม งานบุญประเพณีปลอดปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย สร้างรายได้ที่ยั่งยืน

“ส่วนภาคประชาสังคมก็จะร่วมเฝ้าระวังเนื่องจากนโยบายรัฐที่เน้นการกรตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยผับบาร์สถานบันเทิง ดื่มกินเสรีมากขึ้น รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสังคมต่อเด็กเยาวชนมากขึ้น” นายมานพ กล่าว

ด้าน นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม กล่าวว่า จากบทเรียนการทำงานที่ผ่านมาร่วมกันของภาคสังคมทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลให้พื้นที่จัดงานลอยกระทงกว่า 100 แห่งทั่วประเทศหันมาเน้นเรื่องความปลอดภัย ลดปัจจัยเสี่ยง แต่ก็ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ ยกตัวอย่างบทเรียนจากพื้นที่หลักสำคัญ อาทิ สุโขทัย ตาก เชียงใหม่ ที่เปลี่ยนจากพื้นที่เสี่ยงอันตรายกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทำให้ประชาชนทุกเพศทุกวัย แม้แต่เด็กเล็ก ก็สามารถเดินเล่นลำพังคนเดียวได้หลังสี่ทุ่มเพราะปราศจากคนเมา

ดังนั้น ลอยกระทงที่จะถึงนี้จึงขอเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ควบคุมไม่ให้มีการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในพื้นที่จัดงาน รวมทั้งควบคุมร้านค้าและจุดจำหน่ายในพื้นที่ไม่อนุญาตให้มีการขาย และจัดหน่วยเฉพาะกิจประชาสัมพันธ์ตรวจเตือน เพื่อลดปัญหาและผลกระทบจากความมึนเมา 2. ร่วมกันควบคุมโคมลอย ประทัดยักษ์และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ไม่ให้มีการจำหน่าย และนำเข้ามาจุด มาลอยในพื้นที่โดยเด็ดขาด เพราะเสี่ยงเกิดไฟไหม้ ปัญหาขยะจากโคมที่ลอยไปตกเกลื่อนตามที่ต่างๆ และดูแลความปลอดภัยท่าน้ำ

3.ร่วมกันรักษาคุณค่าวิถีวัฒนธรรม ทำประเพณีวัฒนธรรมให้ร่วมสมัย ให้เด็กเยาวชนเข้ามาร่วมต่อยอดวิถีวัฒนธรรมเดิม ร่วมกันทำให้เห็นว่ากิจกรรมวันลอยกระทง ไม่ใช่มีแค่การลอยกระทง เพราะมีคุณค่าความหมายมากกว่านั้น และ 4. ร่วมกันหาแนวทางและสร้างรูปธรรมในการอนุรักษ์ดูแลปกป้องแม่น้ำ แหล่งน้ำ ดินน้ำป่า เชื่อมโยงกับภัยพิบัติที่เรากำลังเผชิญในหลายพื้นที่และหาทางดำเนินการร่วมกันอย่างเร่งด่วน ซึ่งจะทำให้งานลอยกระทงมีคุณค่าและความหมาย ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของพลังทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมภัยพิบัติ กลายเป็นต้นทุนทางสังคมต่อไปในอนาคต

นางเสาวคนธ์ ศรีบุญเรือง เครือข่ายชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ช่วงลอยกระทงจะมีปัญหาเรื่องโคมลอยอย่างมาก โดยเฉพาะเขตเมืองเก่าที่ไม่มีการวางผังเมือง ทำให้เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้จากโคมตกใส่บ้านเรือน รถดับเพลิงจะเข้ายากมาก มีหลายคนแขนหักจากการกระโดดหนีไฟ นอกจากนี้ ยังมีว่าวไฟที่เป็นอันตรายไม่แพ้กัน ทั้งนี้เห็นว่า การทำผางประทีป (ผางปะติ๊ด) สามารถทดแทนการจุดโคมลอยได้ โดยผางประทีปจะมีความสว่างไสวจุดเพื่อบูชาพระพุทธคุณ และขอบคุณ ขอโทษสิ่งที่ใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำเตาไฟประตูบันไดบ้าน ซึ่งทำกันมาเป็นปีที่ 13 แล้ว ล่าสุด ปีนี้มีการทำบรรยากาศให้เป็นแบบดั้งเดิม เพื่อต่อสู้กับมาตรการการเปิดผับตีสี่ที่เน้นขายเหล้าเบียร์ของรัฐบาลที่เชียงใหม่ เพราะตนเชื่อว่า ไม่ควรปล่อยให้เกิดเหตุร้ายก่อนแล้วค่อยป้องกัน เหมือนการตัดไม้ทำลายป่าที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนักในปีนี้

พระครูสุมณฑ์ธรรมธาดา เจ้าอาวาสวัดคลองกระจง จังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า ก่อนจะมีพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่า งานเผาเทียนเล่นไฟสุโขทัย เต็มไปด้วยเหล้าเบียร์ แต่หลังจากนั้นอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆและภาคประชาชน โดยการนำของผู้ว่าฯ ทำให้พัฒนาการมาเป็นงานลอยกระทงปลอดเหล้า บุหรี่ กระทั่งมีกฎหมายดังกล่าวขึ้นมา แต่ยังมีปัญหาเรื่องการบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม เราได้ใช้แนวทางแก้ไขหลายอย่าง เช่น ให้คนที่นำเหล้าเข้ามาดื่มไปทำการสาบานตนต่อหน้าพ่อขุนรามคำแหง รวมถึงช่วยกันสื่อสารเหตุผลความจำเป็นในการเที่ยวงานปลอดเหล้า จนทำให้งานประเพณีของสุโขทัยปลอดเหล้าได้จริงๆ ผู้ที่มาเที่ยวชมงานรับรู้ เข้าใจ และมาเที่ยวชมการแสดงแสงสีเสียงที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมอย่างไม่ต้องกังวล

นายณพล ชยานนท์ภักดี นายกเทศมนตรีเมืองตาก กล่าวว่า จังหวัดตากมีผ้าป่าน้ำที่เป็นความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตชาวเมืองตากที่มีความสามัคคีและรักสนุกในเวลาเดียวกัน จึงเป็นที่มากระทงสาย ที่ทำจากกะลามะพร้าว และกลายเป็นที่นิยม มีคนมาร่วมเทศกาลจำนวนมากในปัจจุบัน จึงต้องมีการควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล้า เบียร์อย่างเข้มข้น ซึ่งสถานการณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้น มีนักท่องเที่ยวมาร่วมงานจำนวนมากโดยไม่ต้องพึ่งพาเหล้า เบียร์ สามารถสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ควบคู่ไปกับการสืบสานประเพณี การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน

นายสวัสดิ์ เจิมเครือ ปราชญ์ชาวบ้านชุมชนมอญบ้านม่วง กล่าวว่า งานลอยกระทงสายของชาวมอญบ้านม่วง เป็นวัฒนธรรมฉบับพื้นบ้านของชาวมอญ ที่ค่อนข้างจะปลอดจากการดื่ม การทะเลาะวิวาทมาเป็นทุนเดิม เนื่องจากเป็นพื้นที่ไม่ใหญ่ ทำให้การรณรงค์งดเหล้า การส่งเสริมวัฒนธรรมทำได้ดี ทำให้พื้นที่วัดม่วงเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าและมีความหมายทางวิถีวัฒนธรรม ขอให้ทุกท่านช่วยกันจรรโลงศิลปวัฒนธรรม ให้อยู่คู่กับเมืองไทยสืบไป

นางสาวชนกธิดา ศิริวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ลอยกระทงสมัยก่อนทำตามประเพณีใช้บุญนำเป็นเรื่องที่ดี ต่างจากปัจจุบันที่ต้องควบคุมโดยกฎหมายอย่างเข้มงวด สถานที่จัดงานส่วนใหญ่เป็นสถานที่ห้ามขายห้ามดื่มอยู่แล้ว และนับตั้งแต่กฎหมายบังคับใช้มาเกือบ 17 ปี พบว่าแทบไม่มีการกระทำผิด อย่างไรก็ตาม เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบก็จะพบการแอบซ่อนเร้นแบบมิดชิด ซึ่งหมายความว่าคนตระหนักทราบดีว่างานลอยกระทงนั้นต้องปลอดเหล้า คนรู้หน้าที่มีความเข้าใจมีจิตสำนึกมากขึ้น

บุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจแห่งปี 2024 ภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม"  คุณมณีสุดา ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่สำนักพัฒนาความยั่ง...
30/10/2024

บุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจแห่งปี 2024 ภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม"

คุณมณีสุดา ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่สำนักพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กรบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเชิดชูเกียรติในงานพิธีประกาศเกียรติคุณ “บุคคลคุณภาพแห่งปี 2024 (QUALITY PERSONS OF THE YEAR 2024) โดยได้รับการยกย่อง และเชิดชูเกียรติเป็น "บุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจแห่งปี 2024 ในภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม"
รางวัลนี้มอบให้เพื่อประกาศเกียรติคุณและยกย่องบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน และการอุทิศตนทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติในด้านต่างๆ ซึ่งนับเป็นบุคคลตัวอย่างที่ควรค่าต่อการส่งเสริมเพื่อประกาศเชิดชูเกียรติยศแห่งความภาคภูมิใจ โดยได้รับเกียรติจาก
ฯพณฯ พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง องคมนตรี ประธานในพิธีเป็นผู้มอบ จัดโดย มูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (มสวท.) โดยมี คุณภัทรา ศิลาอ่อน ประธานกรรมการ คุณกำธร ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการผลิต พร้อมด้วย คุณณิสดา ศิลาอ่อน และคุณณธร ศิลาอ่อน ร่วมแสดงความยินดี ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เมื่อเร็วๆ นี้

เครือข่ายหาบเร่แผงลอย ผนึกหลายหน่วยงาน ถกทางรอดผู้ค้าริมทางรวมถึงย่านค้าเก่าแก่ ชี้สะพานพุทธ-โบ๊เบ๊คือหัวใจเศรษฐกิจ นักท...
30/10/2024

เครือข่ายหาบเร่แผงลอย ผนึกหลายหน่วยงาน ถกทางรอดผู้ค้าริมทางรวมถึงย่านค้าเก่าแก่ ชี้สะพานพุทธ-โบ๊เบ๊คือหัวใจเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวต่างชาติยังถามหา หวั่นกฎใหม่ กทม.ทำวิถีค้าขายสูญหาย วอนทบทวนเงื่อนไขก่อน Set Zero ต้นปี 68

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 โครงการพัฒนาสุขภาวะผู้ค้าหาบเร่แผงลอย กรุงเทพมหานคร ภายใต้ความร่วมมือของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดโครงการเสวนาวิชาการสาธารณะ “ชีวิตของผู้ค้าอยู่ตรงไหน ภายใต้หลักเกณฑ์ฯ พื้นที่ทำการค้าและการขายฯ ใหม่” เพื่อหาทางออกร่วมกันระหว่างภาครัฐและผู้ค้า พร้อมเสนอแนวทางพัฒนาที่สมดุล ณ โรงแรมเดอะ พาลาซโซ่ กรุงเทพฯ
ดร.กิ่งกาญจน์ จงสุขไกล รองผู้อำนวยการด้านการบริหารและแผนยุทธศาสตร์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเปิดการเสวนาว่า หาบเร่แผงลอยเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการเติบโตของเมือง เป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งรายได้ของคนจำนวนมากและยังเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจฐานรากนอกจากนี้ยังสร้างชีวิตชีวา ถือเป็นอัตลักษณ์ของกรุงเทพฯ การเสวนาครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้รับฟังและแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องการค้าหาบเร่แผงลอยจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายด้าน และหวังว่าเวทีนี้จะเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนที่สร้างสรรค์และสามารถนำไปสู่แนวทางการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกัน
ดร. วรชล ถาวรพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ กล่าวถึงการนำเสนอ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายฯ ปี 2567 ว่า กรุงเทพมหานครได้ประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2567 หลังจากลงนามจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นการ Set Zero ใหม่ทั้งหมด โดยเงื่อนไขใหม่จะเน้นควบคุมพื้นที่ร้านค้าให้วางแผงลอยตามขนาดที่กำหนดไว้และต้องเว้นทางให้คนเดิน 2 เมตรส่วนคุณสมบัติของผู้ค้าจะถูกคัดเลือกจากผู้ค้าเดิมที่เคยลงทะเบียนไว้ มีสัญชาติไทย รายได้น้อย โดยอ้างอิงจากฐานการเสียภาษี หากมีรายได้เกิน 300,000 บาท/ปี ถือว่าสิทธิ์ขาด หรือถ้าไม่ยื่นเสียภาษีถือว่าสิทธิ์ขาดโดยเจตนาเช่นกัน นอกจากนี้การกำหนดพื้นที่ขายของหาบเร่ในศูนย์อาหาร Hawker Center ผู้ค้าจะได้พื้นที่เช่าราคาถูก สามารถแก้ไขปัญหาด้านสังคมและข้อกฎหมายได้ การมีผู้ค้าหาบเร่แผงลอยตามที่สาธารณะเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานาน เพราะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผู้ไม่เห็นด้วยมองว่าผู้ค้ารบกวนการสัญจรของประชาชน ทำให้เกิดความสกปรก ส่วนฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่าผู้ค้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าราคาถูก ดังนั้นเราพยายามจะหาจุดสมดุลที่เป็นไปได้สำหรับทุกฝ่าย ผ่านการหารือในงานเสวนาครั้งนี้
รศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของอาหารริมบาทวิถี หัวหน้าโครงการวิจัย เรื่อง การจัดการด้านโภชนาการและสิ่งแวดล้อมของอาหารริมบาทวิถีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า Street Food ของไทยขึ้นชื่อติดอันดับโลก แต่คนที่ทานประจำคือคนไทย จากข้อมูลวิจัย พบว่า คนที่อายุน้อยและรายได้น้อย เช่น นักศึกษา ทานอาหารริมทางทุกวัน และส่วนใหญ่ 38% จะมีภาวะอ้วน จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดในระยะแรก 50% อาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ ในระยะที่ 2 จึงชวนผู้ประกอบการหาบเร่แผงลอยใช้วัตถุดิบปรุงอาหารให้มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ส่วนของความไม่ปลอดภัยของอาหารต้องไปหาจุดวิกฤตที่สุ่มเสี่ยงเกิดเชื้อโรคและแนะนำกรรมวิธีในการลดความเสี่ยงให้ผู้ค้า พร้อมเสนอให้มีการตรวจสุขภาพของผู้ค้าด้วย
ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเมือง กล่าวว่า ปัญหาสิทธิการใช้พื้นที่เมืองสะท้อนความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการพื้นที่ทำมาหากิน กับกลุ่มผู้มีฐานะที่ต้องการพื้นที่สาธารณะที่สวยงาม กฎควบคุมแผงลอยใหม่ยังคงมีอคติและเน้นการควบคุมมากกว่าการพัฒนา ควรพิจารณาโมเดล Hawker Center ของสิงคโปร์ที่มองหาบเร่แผงลอยเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเมือง เน้นการอยู่ร่วมกันระหว่างผู้ค้าและชุมชน พร้อมลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสุขาภิบาล แทนการมุ่งควบคุมและจำกัดโอกาสการเติบโตของผู้มีรายได้น้อย
นางพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำคือต้องพัฒนาหาบเร่แผงลอยให้ดีขึ้น และปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการประกอบอาชีพ รวมถึงการกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ท้องถิ่น ที่ผ่านมาผู้ค้าเจอวิกฤตหนักตั้งแต่ช่วงโควิด -19 ส่งผลให้ยอดขายลดลง 50 - 75% ต้องหายืมเงินจนเป็นหนี้นอกระบบดังนั้นการมีงานทำของคนกลุ่มนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก อยากให้ฝ่ายปกครองหันมาแก้ปัญหาให้ตรงจุด อย่าเน้นการพัฒนาที่กระจุกในเมือง ควรสร้างโอกาสในการจ้างงานในท้องถิ่นด้วย
ดร. บวร ทรัพย์สิงห์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความท้าทายของ “การค้าหาบเร่แผงลอย กรุงเทพมหานคร” ว่า การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพฯ กำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 5 ประการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ทั้งผู้ค้า เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้บริโภค ประการแรก คือ การลดลงของจุดผ่อนผันและจำนวนผู้ค้า โดยในช่วง 99 วันที่ผ่านมา มีการดำเนินนโยบายยกเลิกแผงลอยในจุดผ่อนผัน 95 จุด (6,048 ราย) นอกจุดผ่อนผัน 544 จุด (13,210ราย) และถ้าย้อนไป 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่าจุดผ่อนผันลดลงถึง 86 จุด (4,541 ราย) นอกจุดผ่อนผัน 544 จุด (13,210 ราย) โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น โบ๊เบ๊ สีลม สยามสแควร์ บางนา และทองหล่อ ซึ่งได้รับการจัดระเบียบอย่างเข้มงวด 2. เกี่ยวกับรูปแบบพื้นที่ค้าขายของกรุงเทพฯ โดยผู้ค้าพยายามปรับตัวจากพื้นที่ที่มีความมั่นคงน้อยไปสู่พื้นที่ที่มีความมั่นคงมากขึ้น3.การประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ในปี 2567 ซึ่งมีข้อกำหนดสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องขนาดพื้นที่ 4. ความท้าทายในการบริหารจัดการ ทั้งในด้านการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ค้า การจัดสรรพื้นที่ การควบคุมราคาและคุณภาพสินค้า รวมถึงความพร้อมของเจ้าหน้าที่เทศกิจในการดำเนินการภายในกรอบเวลาที่กำหนด
และ5.เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านอื่นๆ อาทิ โอกาสในการประกอบอาชีพของธุรกิจขนาดเล็กในเมือง การเข้าถึงแหล่งทุนและความรู้ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงประเด็นด้านสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ค้า ดังนั้นหลักเกณฑ์ใหม่ของ กทม. แม้มีจุดแข็งในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่ความเข้มงวดเกินไปในการกำหนดเขตพื้นที่และคุณสมบัติผู้ค้า อาจทำให้ผู้ค้าในจุดผ่อนผันเดิมเสี่ยงที่จะสูญเสียอาชีพ พร้อมเสนอให้ทุกภาคส่วนและผู้ค้าร่วมพัฒนาหลักเกณฑ์ให้สามารถปฏิบัติได้จริง
ในช่วงเปิดรับฟังความคิดเห็น ผู้เข้าร่วมได้มีข้อเสนอดังนี้ 1. เสนอให้ใช้ตลาดสะพานพุทธเป็นพื้นที่นำร่องตามระเบียบใหม่ เนื่องจากมีความเหมาะสมทั้งด้านขนาดพื้นที่ที่กว้างขวาง และเป็นตลาดกลางคืนที่ไม่กีดขวางการจราจร ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2. อยากให้ใช้แผนการพัฒนาสุขาภิบาลอาหาร เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะอาดของอาหาร และใช้เป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาการค้าอาหารริมทางในอนาคต และ3. ผู้ค้าตลาดโบ๊เบ๊ยังคงได้รับคำถามจากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงแหล่งซื้อสินค้าที่ระลึกบริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม แต่ไม่สามารถแนะนำได้ เนื่องจากการยกเลิกพื้นที่ค้าขาย จึงมีข้อเสนอให้พิจารณาฟื้นฟูพื้นที่การค้าแห่งนี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในย่านการค้าที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นของกรุงเทพฯ

เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จับมือ GAYA บริษัทในเครือของ GS E&C ทุ่ม 4,200 ล้านบาท เนรมิต “MUNIQ เจริญกรุง” คอนโดมิเนียมหรูบนย...
30/10/2024

เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จับมือ GAYA บริษัทในเครือของ GS E&C ทุ่ม 4,200 ล้านบาท เนรมิต “MUNIQ เจริญกรุง” คอนโดมิเนียมหรูบนย่าน CBD ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

กรุงเทพฯ – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ประกาศความร่วมมือกับ GAYA Strategic Enterprise Corporation Pte. Ltd. บริษัทในเครือของ GS E&C ผู้เชี่ยวชาญ ด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างระดับโลกจากประเทศเกาหลีใต้ ร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี “MUNIQ เจริญกรุง” ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 4,200 ล้านบาท

MUNIQ เจริญกรุง ตั้งอยู่บนทำเลทองบนถนนเจริญกรุง ตรงข้ามโรงเรียนนานาชาติ โชรส์เบอรี่ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับถนนสีลมและถนนสาทรที่ให้กลิ่นอายระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ ตัวโครงการโดดเด่น ด้วยสถาปัตยกรรมที่หรูหรา ดีไซน์ในรูปแบบ “บริติช โคโลเนียล คลาสสิค” (British Colonia Classic) ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2568

คุณสุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ GAYA Strategic Enterprise Corporation Pte. Ltd. ในการพัฒนาโครงการ MUNIQ เจริญกรุง ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรี บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง การผนึกกำลังในครั้งนี้ เป็นการรวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัท คือ ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ MJD และความเป็นเลิศ ด้านวิศวกรรมก่อสร้างของ GS E&C เพื่อส่งมอบโครงการคุณภาพ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยของคนไทย”

ในส่วนของบริษัท GS E&C นั้นดำเนินงานด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ระดับ Top 3 ของเกาหลีใต้ที่มีโครงการก่อสร้างที่เป็นแลนด์มาร์ค เช่น National Museum of Korea และ Seoul Coex และยังถือได้ว่าเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลทางการค้าและการลงทุนลำดับที่ 8
MUNIQ เจริญกรุง เป็นโครงการลำดับที่ 2 ภายใต้ผลงานการร่วมมือกับบริษัทในเครือ GS E&C ในการสร้างสรรค์ ประสบการณ์ การใช้ชีวิตที่ เหนือระดับ โดยจุดเด่นเป็นโครงการ freehold คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ วิวแม่น้ำเจ้าพระยา

ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ MUNIQ ได้ที่ https://www.mjd.co.th/muniq/charoenkrung/

“โมโตจีพี” สนามประเทศไทยยิ่งใหญ่ “บันยาญ่า” ฝ่าฝนเข้าวินรุ่นใหญ่ ก้อง-สมเกียรติ ท็อป 4 โมโตทู แฟนเฮสนั่นศึก โมโตจีพี สนา...
28/10/2024

“โมโตจีพี” สนามประเทศไทยยิ่งใหญ่ “บันยาญ่า” ฝ่าฝนเข้าวินรุ่นใหญ่ ก้อง-สมเกียรติ ท็อป 4 โมโตทู แฟนเฮสนั่น

ศึก โมโตจีพี สนามประเทศไทย รายการ PT Grand Prix of Thailand 2024 ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ขณะเกมการแข่งขันเข้มข้นระดับ 5 ดาว ท่ามกลางแฟนความเร็วตลอด 3 วันมากถึง 205,343 คน ผลรุ่นใหญ่ “ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า”แชมป์โลก 2 สมัยชาวอิตาเลียนจาก ดูคาติ เข้าวินพร้อมตีตื้น “ฮอร์เก มาร์ติน” คู่แข่งชาวสแปนิชจาก พรามัค เรซซิ่ง เหลือ 17 คะแนน ขณะ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ฮีโร่นักบิดชาวไทยจาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย สร้างผลงานสุดประทับใจ สตาร์ตกริด 13 แซงคว้าท็อป 4 ในรุ่น โมโตทู ส่วน “ไอ โอกูระ” นักบิดญี่ปุ่นได้ฉลองแชมป์อย่างยิ่งใหญ่กับแฟนชาวไทยที่ บุรีรัมย์

การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี 2024 สนาม 18 รายการ PT Grand Prix of Thailand 2024 (พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์) ดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศ วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

ไฮไลต์อยู่ที่การขับเคี่ยวเพื่อลุ้นแชมป์โลกพรีเมียร์คลาส โดยก่อนแข่ง “ฮอร์เก มาร์ติน” นักบิดสแปนิชจาก พรีม่า พรามัค เรซซิ่ง มีคะแนนนำ ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า แชมป์โลก 2 สมัยชาวอิตาเลียนจาก ดูคาติ เลอโนโว ทีม อยู่ทั้งสิ้น 22 คะแนน โดยก่อนแข่ง “เมนกรังด์ปรีซ์” มีฝนตกลงมาส่งผลให้ต้องประกาศเป็น “Wet Race” แข่งขันท่ามกลางผิวแทร็กเปียก ชิงชัยทั้งสิ้น 26 รอบสนาม

กริดสตาร์ตในเรซนี้มี “บันยาญ่า” เป็นเจ้าของโพล ขนาบข้างด้วยทีมเมทชาวอิตาเลียนอย่าง “เอเนีย บาสเตียนินี” ในกริดที่ 2 หลังเพิ่งคว้าชัยชนะสปรินต์มาในวันเสาร์ ส่วน “มาร์ติน” เริ่มเกมจากกริดที่ 3 ในแถวหน้าเช่นกัน และอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญคือ “มาร์ค มาร์เกซ” แชมป์โลก 8 สมัยจาก เกรซินี เรซซิ่ง ในกริดที่ 5

เริ่มเกมเป็น “มาร์ติน” ที่ออกนำได้ก่อนหลังผ่านโค้งแรก ตามด้วย “มาร์เกซ” และ “บันยาญ่า” ที่แม้จะพลาดในช่วงออกตัวแต่ก็สามารถกลับสู่ความเร็วที่ดีได้ ก่อนจะแชมป์โลกชาวอิตาเลียนจะขยับขึ้นเป็นหัวแถวได้ในรอบที่ 4 และปิดจ็อบคว้าชัยชนะไปครองได้สำเร็จด้วยเวลา 43 นาที 38.108 วินาที เหนือ “มาร์ติน” ในอันดับ 2 อยู่ 2.905 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ “เปโดร อคอสต้า” นักบิดสแปนิชจาก เรดบูล แกสแกส เทคทรี ที่มาไล่แซงช่วงท้ายอย่างสุดมันส์ ตามหลัง 3.8 วินาที

ขณะที่อันดับ 4 และ 5 ตกเป็นของ “ฟาบิโอ ดิ จิอันนันโตนิโอ” นักบิดอิตาเลียนจาก เปอร์ตามิน่า เอ็นดูโร วีอาร์46 ตามด้วย “แจ็ค มิลเลอร์” นักแข่งชาวออสเตรเลียนจาก เรดบูล เคทีเอ็ม แฟ็คตอรี เรซซิ่ง ในอันดับ 5 ด้าน “มาร์ค มาร์เกซ” พลาดล้มที่โค้ง 8 ขณะลุ้นแซงบันยาญ่า ก่อนนำรถเข้าป้ายในอันดับ 11

สถานการณ์ลุ้นแชมป์โลกของรุ่นใหญ่ ยังคงดำเนินอย่าเข้มข้น โดยชัยชนะของ “บันยาญ่า” ทำให้สามารถบีบระยะเข้าไปหา “มาร์ติน” เหลือเพียง 17 คะแนน ขณะที่เหลือการแข่งขันทั้งสิ้น 2 กรังด์ปรีซ์ และ 2 สปรินต์

ด้านผลการแข่งขันในรุ่น โมโตทู เป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่แฟนชาวไทยลุ้นอย่างหนัก เมื่อ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ซูเปอร์สตาร์ชาวไทยจาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย สร้างผลงานสุดประทับใจ ด้วยการออกตัวจากกริดที่ 13 ไล่แซงคว้าอันดับ 4 หลังมีธงแถงช่วง 2 รอบสุดท้าย หลังจากที่มีฝนตกลงมา

ส่วนผู้ชนะได้แก่ “แอรอน คาเน็ต” นักบิดสแปนิชจาก ฟานติค เรซซิ่ง ด้วยเวลา 32 นาที 2.751 วินาที ตามด้วย “ไอ โอกูระ” นักบิดญี่ปุ่นจาก เอ็มที เฮลเม็ตส์ - เอ็มเอสไอ ในอันดับ 2 ตามหลัง 3.684 วินาที เพียงพอให้เขาคว้าแชมป์โลก โมโตทู ในฤดูกาลนี้ไปครอง ได้ฉลองอย่างยิ่งใหญ่กับแฟนชาวไทยที่ บุรีรัมย์ ขณะที่อันดับ 3 เรซนี้ ได้แก่ “มาร์กอส รามิเรซ” นักบิดสแปนิชจาก อเมริกันส์ เรซซิ่ง ตามหลัง 4.683 วินาที

โดยผลการแข่งขันในรุ่นเล็กอย่าง โมโตทรี ต้องมาตัดสินกันถึงโค้งสุดท้าย ชัยชนะตกเป็นของ “ดาวิด อลอนโซ” นักบิดโคลัมเบียนแชมป์โลกปีนี้จาก ซีเอฟ โมโต กาวิโอตา อัสพาร์ ทีม ด้วยเวลา 20 นาที 29.345 วินาที เฉือน “ลูก้า ลูเน็ตต้า” นักบิดอิตาเลียนจาก ซิค58 สควอดร้า คอร์เซ อันดับ 2 เพียง 0.353 วินาที ตามด้วย “คอลลิน วายเยอร์” นักบิดดัตช์จาก ลิควิ โมลี ฮัสควาน่า อินแท็ค จีพี ตามหลัง 0.522 วินาที ส่วน “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี นักบิดไทยจาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย ฟอร์มเยี่ยมสตาร์ตจากกริดที่ 25 บิดคว้าอันดับ 17 ตามหลังผู้ชนะ 17.262 วินาที

สำหรับ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ 2024 ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยได้รับความสนใจจากแฟนความเร็วทั่วโลก ขณะเดียวกันก็มีผู้ชมเข้าสู่สนามตลอดทั้งสุดสัปดาห์มากถึง 205,343 คน โดยฤดูกาลหน้า สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ได้รับการยืนยันให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันสนามแรกของปี ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2025 รวมถึงการเป็นสนามทดสอบ “พรี-ซีซั่น เทสต์” ในวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย

ส่องนางฟ้า ThaiGP2024 “อัมเบรล่า เกิร์ล” สุดเซ็กซี่ หน้าเก๋ ออร่าจัดเต็มภาพชุด ตัวท็อป! พริตตี้ MotoGP สนามประเทศไทย ราย...
28/10/2024

ส่องนางฟ้า ThaiGP2024 “อัมเบรล่า เกิร์ล” สุดเซ็กซี่ หน้าเก๋ ออร่าจัดเต็ม

ภาพชุด ตัวท็อป! พริตตี้ MotoGP สนามประเทศไทย รายการ PT Grand Prix of Thailand 2024 ทั้ง อัมเบรล่า เกิร์ล สาวสาวยสุดเซ็กซี่ที่กางร่มให้กับนักบิดระดับซูเปอร์สตาร์ของโลกและคอยต้อนรับแฟนความเร็วในกิจกรรม Pit Lane Walk

นอกจากนี้แฟนความเร็ว ยังจะได้พบกับทัพ “พริตตี้” สาวสวยที่ประจำ พาวิลเลียน, บูธกิจกรรมต่างๆโดยรอบงาน ที่แต่ละแบรนด์ คัดสรรมาเน้นๆกับตัวท็อปของประเทศมารวมกันนับร้อยคน ในโซน “PT Grand Prix Expo” ที่มีกิจกรรมจากร้านค้าจากผู้สนับสนุนให้ร่วมสนุกมากมาย เลือกช็อปสินค้าราคาพิเศษ ของที่ระลึกโมโตจีพี สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับมอเตอร์ไซค์, สินค้าของตกแต่ง, สินค้ามอเตอร์สปอร์ต ,พิเศษสุดกับไทไทย พาวิลเลียน ที่ผสานการเรียนรู้เรื่องราวรากเหง้าวัฒนธรรรม รูปแบบใหม่, กิจกรรมที่น่าสนใจจากภาครัฐและเอกชน, Meet & Greet นักบิดระดับโลกจากค่ายรถจักรยานยนต์ต่างๆ เร้าใจทุกจุด จัดเต็มเพื่อแฟนโมโตจีพีโดยเฉพาะ

ยูโอบี จับมือ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ก้าวสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการขนส่งทางอากาศกรุงเทพฯ, 24 ตุลาคม 2567 - ธนาค...
24/10/2024

ยูโอบี จับมือ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ก้าวสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการขนส่งทางอากาศ
กรุงเทพฯ, 24 ตุลาคม 2567 - ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประกาศเข้าร่วมโครงการ GoGreen Plus ของดีเอชแอล ซึ่งเป็นการสะท้อนความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างสองบริษัท โดยยูโอบีมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทางอ้อม (Scope 3) ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเงิน และผลักดันวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนของธนาคารให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น
ความร่วมมือนี้เปิดโอกาสให้ยูโอบีใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ในการขนส่งด่วนระหว่างประเทศทางอากาศผ่านบริการ GoGreen Plus ของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส โดยมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินธุรกิจของธนาคาร
นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO และ Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือกับดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของธนาคารต่อความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมากกว่าขอบเขตการดำเนินงานโดยตรงของเรา การร่วมแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมนี้ ถือเป็นแนวทางด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมในทุกด้านของธนาคาร ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050”
บริการ GoGreen Plus จะใช้กับการขนส่งทางอากาศระหว่างไทยและต่างประเทศ สำหรับเอกสารที่สำคัญและเร่งด่วน รวมถึงวัสดุของธนาคารและอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ยูโอบีลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินธุรกิจของธนาคารได้
นายเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “เราภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของธนาคารยูโอบี ประเทศไทย บริการ GoGreen Plus ของเราถือแนวทางที่เป็นรูปธรรมให้บริษัทต่าง ๆ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งด้านโลจิสติกส์ และช่วยให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม”
ความร่วมมือนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ความยั่งยืนแบบองค์รวมของยูโอบี ซึ่งมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งสามประเภท นอกจากความมุ่งมั่นของธนาคารยูโอบีในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเงินเป็นศูนย์ภายในปี 2050 แล้ว ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ยังตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเงิน ซึ่งรวมถึงโลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทาน
การนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินงานของธนาคาร และการร่วมมือกับพันธมิตรอย่างดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ถือเป็นการดำเนินการเชิงรุกของธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ในการตอบสนองต่อเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ความร่วมมือนี้ยังมีส่วนช่วยในการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามระดับโลกในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อเดือนกรกฎาคม ปีนี้ ยูโอบี และดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ได้ร่วมลงนามในข้อตกลง GoGreen Plus ในระดับภูมิภาคเพื่อร่วมลงทุนในเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนสำหรับการขนส่งพัสดุระหว่างประเทศของยูโอบี คาดการณ์ว่าการเข้าร่วมโครงการนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 200 ตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

Address


Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Guide thailand posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to Guide thailand:

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Travel Agency?

Share