Media Planner - Pr.Agency

Media Planner - Pr.Agency ดำเนินธุรกิจวางกลยุทธ์การสื่อสาร?

บริษัท มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด

ก่อตั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2553โดยกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่
ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการ สื่อสารมวลชนด้านการประชาสัมพันธ์ รวมถึงงานด้านอีเวนท์
จากประสบการณ์งานด้านสื่อสารมวลชน ตลอดจนการวางแผนด้านกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์
ทำให้บริษัทฯ ได้รับความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ จากลูกค้าองค์กรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
โดยมอบหมายให้ดูแลงานด้าน สร้างภาพลักษณ์องค์กร และการประชาสัม

พันธ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

ดำเนินธุรกิจวางกลยุทธ์การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ แบบครบวงจร
ไม่ว่าจะเป็น การวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสารการตลาด หรือแม้แต่การเป็นที่ปรึกษาทางกลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์ เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ เพื่อให้บริโภค หรือนักลงทุน ตระหนักถึงความน่าเชื่อถือ คุณภาพของสินค้า และภาพลักษณ์ขององค์กร อย่างมากที่สุด

ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์
กำหนดกลยุทธ์และแผนงานการสื่อสาร เพื่อก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์การ สินค้า และโครงการต่างๆ

สื่อมวลชนสัมพันธ์
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชน เสริมทักษะในการสัมภาษณ์

กิจกรรมสนับสนุนภาพลักษณ์
เสนอรูปแบบ องค์ประกอบ และการดำเนินการ กิจกรรมในส่วนของ Event นิทรรศการ Road Show

ผลิตสื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์
ออกแบบสื่อเพื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ Video Present สิ่งพิมพ์ สปอตวิทยุ

Media Planner Consultants Co.,Ltd.
72/84 หมู่บ้านประภาทรัพย์2 ซอยคู้บอน 48 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 10510

AGE บุกตลาด Taxi EV ตอกย้ำวิสัยทัศน์ขยายธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนบริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE...
04/02/2025

AGE บุกตลาด Taxi EV ตอกย้ำวิสัยทัศน์ขยายธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร นำโดย นางสาวปณิตา ควรสถาพร (ที่ 2 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) และนายปองธรรม แดนวังเดิม (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอจีอี อีวี พลัส จำกัด (บริษัทในเครือของ AGE Group) เดินหน้าขยายธุรกิจ Taxi EV ให้เช่า ภายใต้ชื่อ AGEWAY เพื่อผลักดันรถบริการพลังงานไฟฟ้าให้เติบโต สนับสนุนให้ผู้เช่ารถรับจ้างสาธารณะสามารถเช่าขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุนด้านพลังงาน มลพิษในอากาศ และส่งเสริมให้ผู้เช่ามีรายได้มากขึ้น โดยได้ผนึกความร่วมมือกับ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย และบริษัท ไทยโอริกซ์ ลีสซิ่ง จำกัด ผู้ให้บริการลีสซิ่งรถยนต์ไฟฟ้า โดยได้รับมอบ MG EP PLUS รถสเตชั่นแวกอน พลังงานไฟฟ้า 100% จำนวน 200 คัน เพื่อใช้เป็นรถรับส่งผู้โดยสาร ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยผู้ใช้บริการสามารถเรียกใช้บริการรถ Taxi EV ได้ผ่านบริการ GrabTaxi VIP และ JustGrab

ปัจจุบัน AGE ได้ปล่อยเช่า Taxi EV ไปแล้วกว่า 50 คัน โดยเริ่มดำเนินการปล่อยเช่าในช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา และตั้งเป้าปล่อยเช่า 200 คันในปีนี้

#เอเชียกรีนเอนเนอจี





#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์
Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agenc

AGE ปลื้ม! หุ้นกู้ใหม่ 3 ชุดยอดจองล้น ขายเกลี้ยง 580 ลบ.นักลงทุนเชื่อมั่นปี 68 “เทิร์นอะราวด์”กรุงเทพฯ - บมจ.เอเชีย กรีน...
03/02/2025

AGE ปลื้ม! หุ้นกู้ใหม่ 3 ชุดยอดจองล้น ขายเกลี้ยง 580 ลบ.
นักลงทุนเชื่อมั่นปี 68 “เทิร์นอะราวด์”

กรุงเทพฯ - บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) ปลื้ม! หุ้นกู้ใหม่ 3 ชุด วงเงิน 580 ล้านบาท ขายหมดเกลี้ยง ด้านผู้บริหาร "ปณิตา ควรสถาพร " ระบุถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัท และผลการดำเนินงานปี 68 เทิร์นอะราวด์ พร้อมตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ที่ 17,000 ล้านบาท เติบโต 15-20% และตั้งเป้ารายได้ใน 3-5 ปีข้างหน้าไว้ที่ 20,000 ล้านบาท

นางสาวปณิตา ควรสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) (AGE) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการออกขายหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด มูลค่ารวมกว่า 580 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth Investor) เป็นจำนวนมาก โดยนักลงทุนแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากกว่าจำนวนหุ้นกู้ที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ส่งผลให้บริษัทสามารถออกหุ้นกู้ได้เต็มจำนวนในวงเงิน 580 ล้านบาท ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ

โดยแนวโน้มผลงานของบริษัทในปี 68 จะกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากราคาถ่านหินที่มีเสถียรภาพมากขึ้น บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินที่ 4.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 67 ที่ 3.8 ล้านตัน พร้อมขยายธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจ พลังงานยั่งยืน RDF และธุรกิจเอจีอี เวนเจอร์ส ที่ดำเนินงานเกี่ยวกับรถยนต์ EV และดันธุรกิจโลจิสติกส์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สำหรับธุรกิจถ่านหินคาดว่ารายได้ในปี 68 จะอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 600-1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรปีละ 150-250 ล้านบาท ส่วนธุรกิจพลังงานยั่งยืน (ABM) หลังจากการเข้าซื้อหุ้นบริษัท กรีน อาร์ดีเอฟ จำกัด (GRDF) และ QTC คาดว่ารายได้ปี 68 จะอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจเอจีอี เวนเจอร์ส คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าในปี 68 อยู่ที่ 1,000-1,500 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนในปี 68 ไว้ที่ 100 - 120 ล้านบาท โดยจะมีเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพคลังสินค้า โซลาร์รูฟและโชว์รูมรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้ที่ 17,000 ล้านบาท เติบโต 15-20% และตั้งเป้ารายได้ใน 3-5 ปีข้างหน้าไว้ที่ 20,000 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์กำไรปี 68 ผลประกอบการ กลับมามีกำไร

ซึ่งสอดคล้องกับก่อนหน้านี้ทางบริษัทฯ ได้ประกาศไถ่ถอนหุ้นกู้คืนก่อนกำหนดจำนวน 204 ล้านบาท ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งด้านสภาพคล่องของบริษัทฯ และการรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารของบริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

#เอเชียกรีนเอนเนอจี





#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agenc

PJW ต่อจิ๊กซอว์ ธุรกิจ New S-curve ปั้นพอร์ตรายได้เพิ่ม 25%ประกาศ ปี 68 ฟอร์มสวย รายได้มั่นคง - GP เติบโตกว่า 20-23%กรุง...
31/01/2025

PJW ต่อจิ๊กซอว์ ธุรกิจ New S-curve ปั้นพอร์ตรายได้เพิ่ม 25%
ประกาศ ปี 68 ฟอร์มสวย รายได้มั่นคง - GP เติบโตกว่า 20-23%

กรุงเทพฯ - บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก หรือ PJW เดินเกมรุก ปั้นธุรกิจ New S-curve อาทิ งานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม และวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ประกาศตอกย้ำรายได้เพิ่ม 25% พร้อมหนุนอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตกว่า 20% เพิ่มเป็น 20-23% จาก 18% ในรอบ 9 เดือนปี 2567 และ 20% ในปี 2566 พร้อมวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของพอร์ต

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ มองหาธุรกิจที่เป็น New S-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ 2. กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 3. กลุ่มธุรกิจ Healthcare

และด้วยธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ ประเมินภาพรวมการดำเนินงานในปี 2568 มีทิศทางเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ คาดการอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 20% จาก 18% เป็น 20-23% เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ (New S-curve) อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare ประกอบด้วย 2 กลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1. กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม และ2. กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์

โดยทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2569 ส่งผลให้ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง มีอัตราการเติบโตสูง มีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคงของรายได้ ซึ่งจะผลักดันให้ภาพรวมของอัตรากำไรของ บริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นและรายได้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น

ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2568 นี้ PJW จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 20-25% และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจาก บริษัทฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น Oxygen Humidifier, สายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไตและถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง เป็นต้น

กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักมาจากโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, โรงพยาบาลพระราม 9, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้กว่า 20% ในปี 2568

“ในปี 2568 จะมีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจเดิม (กลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์) หรืออยู่ที่ระดับ 22-25% (จากอัตรากำไรขั้นต้นรวมของบริษัทฯอยู่ที่ระดับ 18-20%)”

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่บริษัทฯ ปรับ Portfolio สู่ธุรกิจใหม่ จาก New S-curve ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ เป็นประมาณ 20% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เติบโตขึ้นจากเดิมที่ 18-20% เพิ่มเป็น 20-23% และคาดว่าจะปรับเพิ่มสูงในปีถัดๆ ไป ซึ่งเป็นผลจากสัดส่วนรายได้ของกลุ่ม Healthcare ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ จะมีเสถียรภาพความมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2569 บริษัทฯ ยังเตรียมนำสินค้ากลุ่ม Healthcare เจาะตลาดใน ASEAN มากขึ้นด้วย

ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ยังเป็นธุรกิจ Cash cow (ยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ) มีการเติบโตต่อเนื่อง มาตลอด ส่วนกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2568 ยังไม่แตกต่างจากปี 2567 มากนัก แต่ก็ถือว่า bottom แล้ว แต่ยอดขายจากกลุ่มยานยนต์ของ PJW จะกลับมาดีขึ้นอย่างมากในปี 2569 จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจาก backlog ที่มีอยู่ของ new model ต่างๆ ที่จะเปิดตัวในปี 2569 โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแม่พิมพ์เพิ่มเติมสำหรับการขายในปี 2569

#ปัญจวัฒนาพลาสติก





#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agenc

GFC ต้อนรับสมาคมนักลงทุนประเทศไทย พร้อมอัปเดตธุรกิจปี 2568นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ รองประธานกรรมการ (กลางซ้าย) พร้อมด้วย...
31/01/2025

GFC ต้อนรับสมาคมนักลงทุนประเทศไทย พร้อมอัปเดตธุรกิจปี 2568

นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ รองประธานกรรมการ (กลางซ้าย) พร้อมด้วย นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 4 จากซ้าย) บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC ให้การต้อนรับสมาคมนักลงทุนประเทศไทย (IAT) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการ GFC Rama 9 International โดยสาขาดังกล่าวเปิดให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.2568 ที่ผ่านมา และเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ เพื่อปักหมุดแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ สำหรับรองรับผู้เข้ารับการรักษาและเข้ารับคำปรึกษาผู้มีบุตรยากทั้งคนไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังอัปเดตแผนธุรกิจ และโอกาสการเติบโตของ GFC ในปี 2568 ที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญจากการรับรู้รายได้ GFC ทั้ง 3 สาขา ซึ่งเป็นการตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจแห่งความหวังของผู้อยากมีบุตร สอดรับคอนเซ็ปท์ “GFC ใส่ใจในความสำเร็จ” เพื่อเติมเต็มคำว่า “ครอบครัว ที่สมบูรณ์แบบ” ณ GFC Rama 9 International

#เจเนซีสเฟอร์ทิลีตีเซ็นเตอร์





#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agenc

30/01/2025

"DeepSeek" สั่นสะเทือนโลก หุ้นชิปร่วงหนัก "ทองคำ-น้ำมัน" โดนด้วย | TNN ชั่วโมงทำเงิน | 28-01-68 ั่วโมงทำเงิน #ตั๊กฐิติกร #แพ.....

AGE กาง Road Map ปี 68 มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานยั่งยืนปักธง รายได้กลุ่มบริษัทฯ โต 17,000 ล้านบาทกรุงเทพฯ - บมจ.เอเชีย กรีน เ...
30/01/2025

AGE กาง Road Map ปี 68 มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานยั่งยืน
ปักธง รายได้กลุ่มบริษัทฯ โต 17,000 ล้านบาท

กรุงเทพฯ - บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) กาง Road Map ปี 2568 ประกาศมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานยั่งยืน (Sustainable Energy) เดินเกมรุก ลุย 4 กลุ่มธุรกิจ “ถ่านหิน-โลจิสติกส์-พลังงานยั่งยืน-Diversified” เล็งดัน ABM เป็น flagship ของกลุ่มบริษัทฯ ปั้นรายได้รวมปีนี้ แตะ 17,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายปี 2573 สัดส่วน EBITDA จากธุรกิจกรีน และธุรกิจถ่านหิน เป็น 50:50 ตอกย้ำสถานะความแข็งแกร่งทางการเงิน โชว์ฟอร์มประกาศไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดชำระจริงบางส่วน ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ลดลง – เพิ่มสภาพคล่องสนับสนุนการเติบโตในอนาคต

นางสาวปณิตา ควรสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร ขนส่งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อก้าวสู่การเป็นธุรกิจพลังงานยั่งยืน (Sustainable Energy) สอดรับแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ใน บมจ.เอเชีย ไบโอแมส หรือ ABM ช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ทำให้ ABM กลายเป็น flagship ทางด้านพลังงานยั่งยืนของกลุ่มบริษัทฯ

“ดีลการทำ Tender Offer หุ้น ABM ได้แล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ AGE จะเป็นผู้ถือหุ้นใน ABM สัดส่วน 52.09% และถือหุ้นใน "ทุนทำดี" ที่ 100% ขณะที่ ABM จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ที่ 24% และถือหุ้นในบริษัท กรีน อาร์ดีเอฟ จำกัด (GRDF) ที่ 100%“

สำหรับกลยุทธ์ทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ในปี 2568 บริษัทฯ แบ่งโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่ม โดยตั้งแต่ปีนี้กลุ่มบริษัทฯ จะเริ่มก้าวสู่การดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืน ภายใต้การตั้งเป้าหมายในปี 2573 จะมีสัดส่วน EBITDA (กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) จากธุรกิจกรีน 50% และธุรกิจถ่านหิน 50% พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2568 จะเติบโตขึ้นแตะระดับ 17,000 ล้านบาท จาก 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย

1.ธุรกิจถ่านหิน บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายถ่านหิน ไว้ที่ระดับ 13,000 ภายใต้การรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้

2.ธุรกิจโลจิสติกส์ ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ระดับ 900 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนจะขยายฐานลูกค้าภายนอกทั้งจากกลุ่มสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มเป็นสัดส่วน 50% จากปัจจุบันที่ 35% โดยในช่วงปี 2568-2573 บริษัทฯ มีแผนขยายกองเรือลำเลียง เนื่องจากการขนส่งทางน้ำมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการขนส่งทางบกโดยรถบรรทุก และช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน จากปริมาณการขนส่งต่อเที่ยวที่มากกว่า

3.ธุรกิจพลังงานยั่งยืน เป้ารายได้รวมธุรกิจที่ 2,200 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนเพิ่มยอดขายเชื้อเพลิง RDF ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงจากขยะ

4.ธุรกิจ Human Solutions (Diversified Investments) ภายใต้บริษัทย่อย “เอจีอี เวนเจอร์ส หรือ AGEVT” ได้จัดตั้งบริษัท เอจีอี อีวี พลัส จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการเช่ารถ Taxi EV โดยในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าปล่อยเช่า Taxi EV รวมประมาณ 200 คัน และธุรกิจ ดีลเลอร์รถยนต์ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เอจีอี ออโต้ แกลเลอรี่ จำกัด ปีนี้ตั้งเป้าเปิด 6 โชว์รูม ภายใต้แบรนด์ OMODA & JAECOO, Mitsu, Zeekr, และ AION ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ที่ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ นางสาวปณิตา ยังได้กล่างถึงภาพรวมอุตสาหกรรมถ่านหินในประเทศและต่างประเทศว่า ในช่วงปี 2566-2569 ปริมาณการใช้ถ่านหินโลกจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ประมาณ 0.8% และการเติบโตสูงสุดของการบริโภคจะอยู่ในอาเซียน ด้วยอัตราการเติบโตที่ 5.9% ตั้งแต่ปี 2566-2569 เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินที่สะอาดยิ่งขึ้น เช่น การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และถ่านหินยังคงเป็นพลังงานราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานอื่น สำหรับตลาดในประเทศ บริษัทฯ ยังคงมองว่าความต้องการใช้ถ่านหินยังคงสามารถเติบโตได้ เนื่องจากถ่านหินยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนถูกเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น

นอกจากนี้ AGE ยังได้ตอกย้ำสถานะความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ โดยได้ประกาศไถ่ถอนหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2565 (AGE256A) บางส่วน มูลค่า 204 ล้านบาท ก่อนครบกำหนดชำระจริง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ยจ่าย ทั้งยังส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ลดลง และเพิ่มสภาพคล่องสนับสนุนการเติบโตในอนาคตของกลุ่มบริษัทฯ

#เอเชียกรีนเอนเนอจี





#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agenc

ขอบคุณรายการ  C level ขอบคุณ  #คุณปิตินันท์ เชิดชูงาม   บก.ข่าวเศรษฐกิจ   ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์ " #คุณธนพิศาล  #คูหาเป...
29/01/2025

ขอบคุณรายการ C level ขอบคุณ #คุณปิตินันท์ เชิดชูงาม บก.ข่าวเศรษฐกิจ ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์ " #คุณธนพิศาล #คูหาเปรมกิจ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ #โกลเบล็ก จำกัด (เจนเนอเรชั่น 3 ของตระกูล จากธุรกิจค้าทองคำส่งออก-นำเข้า และผลิตทองคำแท่ง สู่ธุรกิจหลักทรัพย์) ติดตามฟังบทสัมภาษณ์ ผ่านรายการ C level ได้เร็วๆ นี้

#สำนักข่าวINN

#บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก
#ธนพิศาลคูหาเปรมกิจ
#ธุรกิจค้าทองคำ



BKA เปิดฉากโรดโชว์ ตอกย้ำ “ที่ 1 เรื่องบ้านมือสอง”พร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้น IPO 60 ล้านหุ้นกรุงเทพฯ - บมจ.บางกอก แอสเซท อ...
28/01/2025

BKA เปิดฉากโรดโชว์ ตอกย้ำ “ที่ 1 เรื่องบ้านมือสอง”
พร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้น IPO 60 ล้านหุ้น

กรุงเทพฯ - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA เปิดฉากนำเสนอข้อมูลนักลงทุนทั่วไป (RETAIL INVESTOR ROADSHOW) ตอกย้ำ “BKA ที่ 1 เรื่องบ้านมือสองตกแต่งใหม่” เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ก่อนเสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น



นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ นำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนทั่วไป (RETAIL INVESTOR ROADSHOW)ในครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือเรียกว่า “Flipping”) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงก่อนขาย เพื่อให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (“ธุรกิจบ้านฝาก”) และ ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านตัด”) ก่อนที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai)

การระดมทุนในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจของ BKA ให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ สู่การขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นรวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการ ซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลาย เพิ่มมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์

“ด้วยศักยภาพ รวมถึงโอกาสทางธุรกิจ ในฐานะผู้นำธุรกิจบ้านมือสอง ทำให้วันนี้ BKA สามารถตอบโจทย์ความเป็น “ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” ภายใต้จุดเด่นและความได้เปรียบกว่าบ้านมือหนึ่ง บนทำเลเดียวกัน ราคาที่คุ้มค่ากว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ถือเป็นหัวใจหลักที่ผลักดันให้ BKA เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน จนก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชนในวันนี้”

ด้วยศักยภาพและจุดเด่นดังกล่าว สะท้อนถึงผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,304.94 ล้านบาท 1,302.92 ล้านบาท 1,313.59 ล้านบาท และ 870.03 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ระดับ 49.77 ล้านบาท 21.44 ล้านบาท 22.27 ล้านบาท และ 27.64 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 3.81 ร้อยละ 1.65 ร้อยละ 1.70 และร้อยละ 3.18 ในปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ตามลำดับ

ด้านนางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า BKA มีจุดเด่นข้อได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจบ้านมือสอง ได้แก่ 1. บ้านมือสองมีความได้เปรียบทั้งด้านทำเล และราคาที่คุ้มค่ากว่า เมื่อเทียบกับบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้หาซื้อบ้าน 2. Model ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) เป็นการวางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนบ้านทั้งหลัง ทำให้ประหยัดเงินลงทุนไปได้มาก และได้ผลตอบแทนสูง 3. ตลาดบ้านมือสองยังมีศักยภาพการเติบโต เนื่องจากสถาบันการเงินและ AMC มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ในระบบจำนวนมาก ซึ่งเป็นสินค้าบ้านมือสองทำเลดี และราคาคุ้มค่าต่อการลงทุน 4. BKA เป็นผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองที่มีจำนวนบ้านมือสองตกแต่งใหม่พร้อมขายจำนวนมาก โดยให้บริการปรับปรุง และขายบ้านมือสอง ซึ่งมีรายได้กระจายไปในบ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัด หลายโครงการในทำเลที่ดี โดยไม่ได้ Focus โครงการใดโครงการหนึ่งเป็นหลัก และ 5.ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี รวมทั้งมี Website ที่ทำให้สะดวกในการเข้าถึงข้อมูลบ้านมือสองในทำเลต่าง ๆ และยังมีเครือข่าย Agent ที่สามารถอำนวยความสะดวก และรวดเร็วให้กับลูกค้า ซึ่งช่วยสนับสนุนการขาย และสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทฯ ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของ BKA ที่จะมุ่งสู่การสร้างโอกาส ในธุรกิจบ้านมือสอง ให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

“BKA เตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้า โดยปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้

#บางกอกแอสเซทอินเตอร์กรุ๊ป





#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agenc

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประกาศแผนธุรกิจ พุ่งทะยานสู่เป้าหมายรายได้รวม 5 ปีแตะ 150,000 ล้านบาท พร้อมขยายกลุ่มธุรกิจใหม่ Green ...
28/01/2025

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประกาศแผนธุรกิจ พุ่งทะยานสู่เป้าหมายรายได้รวม 5 ปี

แตะ 150,000 ล้านบาท พร้อมขยายกลุ่มธุรกิจใหม่ Green Mobility เป็น 5 กลุ่มธุรกิจ

ตอกย้ำการเติบโตอย่างยั่งยืน ในปีแห่งความท้าทาย



บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA Group) ประกาศทิศทางธุรกิจและเป้าหมายสำหรับปี 2568 มุ่งเน้นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 5 กลุ่มธุรกิจหลักครอบคลุมธุรกิจล่าสุด WHA Mobility คาดการณ์กำไรสูงต่อเนื่องในปี 2567 มีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มบริษัทฯ 14,400 ล้านบาท อัตรากำไร EBITDA มากกว่า 55% และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 5 ปีที่ 150,000 ล้านบาท โดยวางกลยุทธ์หลักในการขยายความเป็นผู้นำในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจร นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลโซลูชัน ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ครบวงจร ก้าวสู่การเป็นการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) ตลอดจนการนำศักยภาพขององค์กรไปสร้างการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน และเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงทุกมิติ (High Performance Organization) สอดคล้องกับพันธกิจ “WHA: We Shape the Future”

แผนการดำเนินงานในปี 2568 WHA Group คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และส่วนแบ่งกำไรกว่า 20,000 ล้านบาท และคงอัตรากำไร EBITDA Margin มากกว่า 45% สำหรับแผนการดำเนินงานใน 5 ปี (2568-2572) WHA Group เตรียมความพร้อมเพื่อการขยายและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว ด้วยการอัดงบลงทุนกว่า 119,000 ล้านบาท วางแผนสร้างรายได้ให้เติบโตประมาณ 2.9 เท่าจากปี 2567 และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการลงทุนขยายธุรกิจที่สำคัญของ WHA Group จากปัจจัยหนุนด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ที่อาจจะยิ่งทวีความเข้มข้น หลังจากการกลับมาของประธานาธิปดีทรัมป์ที่อาจจะช่วยสร้างโอกาสการลงทุนให้เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยด้วยพื้นที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ การเป็นศูนย์รวม Supply Chain ที่ครบวงจร ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค ความมั่นคงทางด้านพลังงาน รวมถึงพลังงานหมุนเวียน แรงงานที่มีคุณภาพ นโยบายการส่งเสริมจากภาครัฐ ที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ คลาวด์เซอร์วิส ซึ่ง WHA Group มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความพร้อมในการรองรับการลงทุน อีกทั้ง บริษัทฯ ยังต่อยอดสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และประโยชน์ต่อลูกค้า คู่ค้า นักลงทุน และมีผู้ส่วนได้เสียทุกฝ่าย”

สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2568 WHA Group ยังคงดำเนินงานตาม 4 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย Extend Leadership เร่งขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในประเทศและตลาดภูมิภาค Embrace Innovation and Technology นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve ให้กับองค์กร Enhance the Prominence on Green and Sustainability มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม และ Build High Performance Organization ด้วยการพัฒนา ยกระดับองค์กรในทุกด้านให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง

1. ธุรกิจโลจิสติกส์: ในปี 2567 มีการเติบโตอย่างโดดเด่นด้วยพื้นที่รวมทั้งสิ้น 3,109,000 ตารางเมตร เป็นโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 167,000 ตารางเมตร สำหรับปี 2568 บริษัทฯ วางกลยุทธ์ในการขยายการเติบโตทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม

o ในประเทศไทย บริษัทฯ มุ่งขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทำเลยุทธศาสตร์ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พื้นที่ EEC และเมืองรอง โดยในปี 2568 มีแผนขยายโครงการสำคัญในทำเลศักยภาพ ได้แก่ WHA Mega Logistics Center ชลหารพิจิตร กม.4 โครงการ 2 WHA Mega Logistics Center เทพารักษ์ กม. 21 เฟส 3 และ WHA Mega Logistics Center บางนาตราด กม. 23 Inbound รวมพื้นที่กว่า 380,000 ตารางเมตร สำหรับประเทศเวียดนาม เน้นรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เช่น อีคอมเมิร์ซ สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยโครงการคลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งแรกในเวียดนามขนาด 37,000 ตารางเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จ และพร้อมเปิดให้บริการต้นปีนี้ อีกทั้ง ในเดือน มกราคม 2568 บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงการโลจิสติกส์ในพื้นที่ 300 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กับตัวเมืองหลักของจังหวัดและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

o สำหรับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ จีซี โลจิสติกส์ จำกัด (WGCL) มุ่งเป้าสู่การยกระดับจาก 3PL เป็น 4PL (Fourth-Party Logistics Provider) โดยอาศัยจุดแข็ง และความเชี่ยวชาญร่วมของ WHA และ GC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโลจิสติกส์ โดยการเปลี่ยนผ่านสู่ 4PL เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยขยายขอบเขตการให้บริการจากการจัดการขนส่งและคลังสินค้า (3PL) ไปสู่การวางแผน ออกแบบ และบูรณาการระบบโลจิสติกส์อย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับบริษัทและลูกค้า

o ในส่วน Office Solutions บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานบนทำเลที่ดีเยี่ยมของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 6 โครงการ บนพื้นที่รวมมากกว่า 120,000 ตารางเมตร โครงการล่าสุดที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้วในปี 2567 ได้แก่ โครงการ Qube ไลฟ์สไตล์ รีเทลสเปซ บนพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร อยู่ติดสถานี BTS สุรศักดิ์ สำหรับ ปี 2568 มีโครงการใหม่ที่พร้อมให้บริการ ได้แก่ โครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางใน ย่านสาทร พื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568

เป้าหมายปี 2568 คือการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเป็นประมาณ 3,309,000 ตารางเมตร มีโครงการให้เช่าพื้นที่ใหม่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร และมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART รวมทั้งสิ้นประมาณ 70,000 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท

2. ธุรกิจโมบิลิตี้ (Mobility) โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mobilix ซึ่งได้เปิดตัวในปี 2567 ประกอบด้วย 3 บริการหลัก คือ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) เป็นบริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) บริการเครื่องชาร์จและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) แพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะอันทันสมัยสำหรับจัดการรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่

ความสำเร็จในปี 2567 มีการให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าอีก 318 คัน โดยสร้างความแข็งแกร่งพร้อมผนึกกำลังกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของธุรกิจอย่าง Voltality EVMe Grab และเริ่มความร่วมมือการให้บริการเชิงพาณิชย์กับ SHARGE ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem และมีการก่อสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้าด้วยกำลังการผลิต 5,400 กิโลวัตต์

โมบิลิกส์ตั้งเป้าให้บริการเช่ารถ EV จำนวนทั้งหมด 20,000 คัน ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากกลยุทธ์การสร้างความแข็งแกร่ง ร่วมกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า การจัดการยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ การเป็นเลิศในการให้บริการอย่างครบวงจรพร้อมความยืดหยุ่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยในปี 2568 คาดว่าจะมีรถ EV ภายใต้การบริการเช่ารถมากกว่า 1,700 คัน

3. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม: ในปี 2567 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 2,565 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 2,453 ไร่ และประเทศเวียดนาม 112 ไร่ และมียอดโอนที่ดินรวม 2,070 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 1,727 ไร่ และประเทศเวียดนาม 343 ไร่ โดยลูกค้ารายสำคัญคือ Google ได้ลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้าง Data Center แห่งแรกในประเทศไทย และ Haier เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศครบวงจรแห่งใหม่ โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีทั้งหมด 15 นิคมอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ในประเทศไทย 14 แห่ง และประเทศเวียดนาม 1 แห่ง ทั้งนี้ บริษัทฯ มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่กำลังก่อสร้างและรอการพัฒนารวม 7 โครงการ บนพื้นที่ 8,810 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการที่ดินจากนักลงทุนที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการในประเทศเวียดนามยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมี 2 โครงการ ขนาดพื้นที่รวม 2,297 ไร่ ที่ได้รับการอนุมัติใบอนุญาตลงทุน (Investment Registration Certificate, IRC) เรียบร้อยแล้ว และ 1 โครงการ ขนาด 1,094 ไร่ อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุน นอกจากนี้ในเดือนมกราคม 2568 บริษัทฯ ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่ง พื้นที่รวมประมาณ 4,000 ไร่

สำหรับปี 2568 บริษัทฯ มุ่งรักษาความเป็นผู้นำในประเทศไทย และขยายธุรกิจในประเทศเวียดนาม รวมทั้งมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวม 2,350 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม เน้นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart Industrial Estates) อย่างต่อเนื่อง และพร้อมเป็นพันธมิตรที่ให้บริการโซลูชันแบบครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น

4. ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ): ในปี 2567 บริษัทฯ มีปริมาณยอดขายน้ำและบำบัดน้ำเสียรวมที่ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 8 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโตจากปีที่ผ่านมาถึง 25% โดยโครงการที่ประสบความสำเร็จคือ โครงการซื้อ-ขายน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(GC) ปริมาณ 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี
สำหรับปี 2568 ในประเทศไทย บริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายตัวตามการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม โดยการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในการหาแหล่งน้ำดิบอย่างต่อเนื่อง ขยายการผลิตน้ำที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจในพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรม WHA รวมไปถึงการเข้าร่วมโครงการสาธารณูปโภคน้ำประปาและน้ำเสียในพื้นที่ใหม่ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะทำสัญญาซื้อ-ขายน้ำกับการประปาส่วนภูมิภาค ปริมาณสูงสุด 4.3 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี นอกจากนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนา Smart Water Solutions เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ ลดต้นทุน และลดน้ำสูญเสีย สำหรับเวียดนาม บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และใช้ความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ในการพัฒนาประสิทธิภาพโครงการสาธารณูปโภคด้านน้ำที่ได้เข้าไปลงทุน

โดยในปีนี้ ได้ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นภายในประเทศประมาณ 132 ล้านลูกบาศก์เมตร และในเวียดนามประมาณ 41 ล้านลูกบาศก์เมตร บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยตั้งเป้าที่ประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร

ธุรกิจไฟฟ้า: ในปี 2567 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้ว 965 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากพลังงานสะอาดทั้งหมด 437 เมกะวัตต์ สำหรับปี 2568 บริษัทฯ จะเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและนอกประเทศ โดยในไทยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff และโครงการ Direct PPA เป็นต้น สำหรับประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการไมโครกริด ที่นิคมเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Zone 1 ในจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เฟส 1 ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 และมุ่งเน้นต่อยอดการขยายธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปอีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันพลังงานอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) เป็นต้น พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,185 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากพลังงานหมุนเวียน 657 เมกะวัตต์

5. ธุรกิจดิจิทัล: ในปี 2567 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการยกระดับองค์กรในทุกมิติ บรรลุเป้าหมายการเป็น Technology Company และผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology-driven Organization) จากการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรในด้านนวัตกรรมดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง และการทำโครงการ Digital Transformation ต่างๆ ตลอดช่วงเวลา 3 - 4 ปี ที่ผ่านมา สำหรับปี 2568 WHA Digital ยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจต่างๆ ใน WHA Group ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น Artificial Intelligence, Internet-of-Thing โดยในปัจจุบันมีโครงการ AI Transformation ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 12 โครงการ ได้แก่ Drone Inspection Solution และ IoX Platform for Solar อีกทั้ง WHA Digital พร้อมหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้แก่ โมบิลิกส์ แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ โดยได้ตั้งเป้าหมายสำหรับยอดการใช้งานโมบิลิกส์ แพลตฟอร์มที่ประมาณ 900 คัน ภายในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6,000 คัน ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายในการพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่พร้อมให้บริการภายใน WHA Group ภายในปี 2568

WHA Group ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างคุณค่าให้กับสังคม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี 2572 อย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าให้บริการประมาณ 20,000 คัน การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 683,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี การลดการใช้น้ำจากธรรมชาติลงประมาณ 25,000,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี เทียบเท่ากับปริมาณการใช้น้ำของภาคครัวเรือนกว่า 685,000 คน และการจัดการขยะแบบ Zero Waste ที่จะไม่มีการฝังกลบหรือเผาทำลาย เพื่อขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

บทพิสูจน์ความสำเร็จของ WHA Group ในปี 2567 ที่ผ่านมา เห็นได้จากรางวัลต่าง ๆ เช่น รางวัล Best Sustainability Awards ในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence จากงาน SET Awards 2024 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับสูงสุด “AAA” รางวัลนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 และรางวัล HR Asia: Sustainable Workplace Awards จาก HR Asia เป็นต้น

#ดับบลิวเอชเอคอร์ปอเรชั่น





#บริการPRงานประชาสัมพันธ์
ัมพันธ์
#วางกลยุทธ์สื่อสารประชาสัมพันธ์
#สร้างสัมพันธ์นักลงทุนMediaPlanner
ี่

ุ้นไฟแนนซ์
ุ้นไฟแนนซ์

Tiktok : .creators
X :
youtube : Media planner - Pr.Agenc

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

029432681

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Media Planner - Pr.Agencyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Media Planner - Pr.Agency:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์